วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อย่าใช้เวลาทำลายประโยชน์

ก่อนนอนหยิบหนังสือหลวงพ่อขึ้นมาอ่าน ก็เจอจังๆว่า

"
จิตของท่านมีสมาธิหรือเปล่า ปัญญาของท่านสามารถทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานหรือเปล่า
ไปนั่งวิพากษ์วิจารณ์คนนั้นทำอย่างนั้น คนนี้ทำอย่างนี้  สิ่งที่คิดอย่างนี้มันได้ประโยชน์อะไร
วันเวลามันล่วงไปๆ ความตายมันคืบใกล้เข้ามาทุกที อารมณ์ใจของเรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วหรือยัง
เราทำลายความชั่วได้แล้วหรือยัง

จะเอาเวลาของจิตไปทำลายประโยชน์เพื่ออะไร พยายามสร้างความดีจนกระทั่งจิตไม่ติดอยู่ในกายของเรา
จิตไม่ติดอยู่ในกายของคนอื่น จิตไม่ติดอยู่ในสรรพวัตถุทั้งหลายในโลกทั้งหมด

จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น เขาจะดีจะเลวอย่างไร เป็นเรื่องของเขา
เขาจะกินมาก เขาจะกินน้อย เขาจะดีมาก เขาจะดีน้อย มีวาจาไม่ดี อย่าไปสนใจเด็ดขาด
ถ้าไปสนใจ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าเป็น อุปกิเลส คือความชั่ว
"
- พ่อสอนลูก

ถ้าสามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ จิตจะเป็นปฐมฌานทันที และหลังจากนั้นก็จะเป็นฌานสูงขึ้นไป
 

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตัดกามราคะ

วันนี้ได้คุยกับคุณยายปราโมทย์ที่ซอยสายลม ที่คุณยายสอน เกิดความเข้าใจขึ้นมาทันที

"ตาก็ไม่ใช่ของเรา พอตามองเห็น เราก็รับมาปรุงแต่งต่อ"

เหมือนความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยว่า ตาก็สักแต่ว่าเห็น แต่เรานี่แหละ มาปรุงแต่งต่อไปว่า นี่ถูกใจนะ อยากครอบครองนะ กิเลสก็ฟุ้งขึ้นมา

 ๑๑๑๑๑

ราคะ แปลว่า ความกำหนัดยินดี ความพอใจ ความติดใจ หมายถึง ความติดอกติดใจในสิ่งใดๆก็ตาม

ติดใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็เป็นกามราคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตา

เมื่อตาสัมผัสรูป จักขุวิญญาณมีอยู่ เวทนาจึงเกิด เมื่อเวทนาเกิด ตัณหาจึงเกิด
ลักษณะของรูปมีอยู่ ชวนให้รัก ให้ใคร่ ให้หลงใหล ให้พึงใจ ให้ปรารถนา เป็นเหตุแห่งความกำหนัด เป็นเหตุแห่งราคะ

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การให้ทาน

การให้ทานของพระสกิทาคามี

ต้องประกอบทั้งทานภายนอกและทานภายใน ทานภายใน ได้แก่ อภัยทาน คือ บรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ และบรรเทาความหลง หมายความว่า จิตที่เกาะอยู่ในวัตถุเกือบจะไม่มี เราเพียงแต่อาศัยมันเพื่อยังชีพให้ทรงอยู่ จะตายเมื่อไหร่ก็ช่าง

อภัยทาน หมายความว่า บุคคลผู้ใดก็ดีที่ทำให้เป็นที่ไม่ถูกใจเรา เราไม่พอใจเขาในอากัปกิริยาด้วยกายก็ดีวาจาก็ดี แต่อารมณ์ของเรานี้ประกอบไปด้วยปัญญาที่มีความรู้สึกอยู่ว่า ขันธ์ 5 มีสภาพไม่ทรงตัว ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของเขาก็ดี เป็นแต่เพียงเปลือกภายนอกที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 มีความสกปรก น่าสะอิดสะเอียน ไม่มีปัจจัยของความสุข มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

ฉะนั้น คนที่ทำให้เราไม่ชอบใจ เราก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราจะทำลายเขา เราจะล้างผลาญเขา เราจะกลั่นแกล้งเขา ก็ไม่มีอะไรเป็นผลแห่งความดี เราให้อภัยในความผิด

นึกถึงการให้อภัยไว้เป็นปกติ ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่ผูกโกรธ ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ก็เป็นปัจจัยให้เรามีความสุข คนเราเกิดมาจะให้ดีทุกอย่างมนเป็นไปไม่ได้

แล้วก็มาเทียบกับร่างกายเราว่า ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะอาศัยมีร่างกาย ขันธ์ 5 ที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 จะพึงมี ก็ขอมีอยู่ชาตินี้เท่านั้น จิตใจของเราไม่น้อมไปที่จะมีความรักในกาย จิตใจของเราเต็มไปด้วยการให้อภัย

อย่างนี้องค์สมเด็จพระชินศรีเรียกบุคคลนั้นว่า พระสกิทาคามี



การให้ทานของพระอนาคามี

ทานภายใน ได้แก่ การให้อภัยกับจิต คือจิตที่คิดว่าจะผูกพันธ์ในร่างกายเราก็ดี ร่างกายบุคคลอื่นก็ดี อารมณ์ประเภทนี้ไม่มี เรายกให้เป็นภาระหน้าที่ของตัณหา ของอุปาทาน ความผูกพันในร่างกายนี้ไม่มีในจิตของเรา เพราะว่ามีความรังเกียจสะอิดสะเอียนในร่างกาย กายเราก็ดี กายบุคคลอื่นก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ประกอบไปด้วยความทุกข์ ความเกิดมาก็เป็นทุกข์ ความหิวกระหายเป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ มองกายที่เต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนซากศพ เต็มไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ ในที่สุดก็พังสลายไป

จิตใจของเราหมดความผูกพันในร่างกาย ในด้านความโกรธ ขึ้นชื่อว่าการกระทบกระทั่งสิ่งที่ไม่ชอบใจไม่มีสำหรับเรา มีจิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ก็เพราะคนที่เกิดมานี่อาศัยความโง่เป็นกำลัง มีกิเลสตัณหาอุปาทาน เขาจึงสร้างความชั่ว แต่สำหรับเราจะไม่ยอมให้ชั่วแบบนั้น

น้อมใจไปในด้านความสุข คือไม่ติดกามฉันทะทั้ง 5 คิดให้อภัยอยู่เสมอ ใครจะด่า จะว่า จะนินทาว่าร้าย จะแกล้งประการใด ใจมีความสุข คิดว่านี่มันเป็นธรรมดาที่เราเกิดมามีร่างกาย กำลังใจสบายไม่สะทกสะท้าน

อันนี้เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี



การให้ทานของพระอรหันต์

คิดว่าสภาวะร่างกายของความเป็นมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 คือร่างกายนี้เป็นภัยใหญ่ ทุกข์ใดๆที่มีขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยร่างกายเป็นเหตุ ความรู้สึกต้องการร่างกายเราก็ดี ร่างกายคนอื่น ความพอใจในวัตถุต่างๆที่จะยึดเป็นที่พึ่งที่อาศัยก็ดี หมดสิ้นไปจากกำลังใจ เพราะเห็นว่าร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันมาเพราะร่างกายเป็นสำคัญ

ร่างกายนี้มีขึ้นมาได้เพราะอาศัยตัณหาเป็นต้นเหตุ จิตคิดอยู่เสมอว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ 4 มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา พอจิตมาถึงตอนนี้ก็อุทิศว่า อะไรจะมากระทบกระทั่งร่างกายก็ดี กระทบใจก็ดี เราไม่ยอมรับ เรายกให้เป็นกฎของธรรมดา เพราะเกิดมาต้องเป็นอย่างนั้น

อย่างนี้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็น พระอรหันต์



อาศัยทานบารมีอย่างเดียว ก็เข้าถึงพระนิพพานได้
 
 
- คัดย่อจากธรรมปฏิบัติ ๓๘

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จิตจับพระนิพพาน

อารมณ์ดีจริงๆที่เขาเรียกว่าทรงฌาน ก็คือทรงอารมณ์ที่เป็นกุศลตลอดเวลา ถ้านึกถึงพระนิพพานไว้ว่าเราจะไปพระนิพพาน เราก็จับจุดพระนิพพาน ใช้คำภาวนาว่า นิพพานัง ให้จิตนึกถึงพระนิพพานเป็นปกติ ถ้านึกนานๆเข้า อารมณ์กิเลสทุกอย่างมันจะลดตัว


พยายามประคับประคองใจให้อยู่ในด้านกุศลตลอดเวลา อย่าให้มีอารมณ์ที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น ความไม่ดีจงอย่าคบ


ทีนี้ต้องระวังที่จริยาเสีย เพราะจิตมันเป็นอกุศล คิดจะว่าคนโน้น คิดจะด่าคนนี้ นี่มันเป็นอเวจี ทุกๆวันระวังจิตไว้ ถ้าจิตมันดีละก็ ความเลวทางกาย ทางวาจาไม่มี ความเร่าร้อนในเขตที่เราอยู่มันก็ไม่มี


- ธรรมะปฏิบัติ ๓๘


ถ้าหากว่าเราเจริญพระกรรมฐานโดยใช้การภาวนาอย่างเดียว แต่ไม่มองจิตของเรา ไม่ใคร่ครวญอารมณ์ของจิต บางทีการเจริญพระกรรมฐานแบบนั้นก็มีผลเหมือนกัน แต่ว่าผลมันช้าเกินไป

ดูอารมณ์จิตเพื่อ..
ตัดความโกรธ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ตัดในอาการตรงกันข้าม เราก็มานั่งคิดดูว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้มีความทุกข์ย่ำแย่อยู่แล้ว เราไม่ประทุษร้ายเขา เขาก็มีความทุกข์ มีความลำบาก มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีความแก่ ทุกคนมีความทุกข์อยู่แล้ว เขาก็ต้องตายอยู่แล้ว

หรือพิจารณาว่า เขากับเรามีความรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน นี่เราจะไปสร้างศัตรูเพื่อประโยชน์อะไร เมื่อเรามีศัตรูมากเพียงใด ความทุกข์มันก็มีมากเพียงนั้น เพราะไปทางไหนก็ต้องระวังอยู่ตลอดเวลา กลัวศัตรูจะทำร้าย ถ้าเราไปไหนมีคนรักมาก เราก็มีความสุข

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก้อาการโทสะด้วยเมตตาบารมี ทำใจของเราให้รู้จักอภัย คิดเสียว่าทุกคนทำความผิดด้วยความเข้าใจผิด หลงผิด เพราะทุกคนต้องการความสุข แต่ที่ทำเพราะอาศัยอำนาจแห่งโมหะจริต คือความคิดผิดเข้ามาครอบงำ ไม่ใช่ทำไปด้วยความฉลาด ถ้าเขาฉลาดก็ต้องไม่เป็นศัตรูกับใคร

พระพุทธเจ้ากล่าวว่า โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ความโกรธมีอาการเผาผลาญให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา แต่การให้อภัย ใครเขาจะว่าอย่างไร ก็ถือว่าช่างเถอะ ปล่อยไป เราไม่ตอบสนอง เป็นการระงับอารมณ์ร้ายจากใจของเรา

- คัดย่อจากคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๔๒

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ไตรลักษณ์

 " สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา "

สิ่งที่ปิดบังไตรลักษณ์
  1. สันตติ คือ ความสืบต่อ หรือความเป็นไปอย่างต่อเนื่อง บังอนิจจลักษณะ
  2. อิริยาบท คือ การยักย้ายเคลื่อนไหว บังทุกขลักษณะ
  3. ฆนะ คือ ความเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นชิ้น บังอนัตตลักษณะ


"ปุถุชนผู้มิได้ฝึกอบรมในอริยธรรม ย่อมมองเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตน (อัตตา)
มองเห็นตนมีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ
อยู่ด้วยความรู้สึกว่า รูปเป็นเรา รูปของเรา
เวทนาเป็นเรา เวทนาของเรา
สัญญาเป็นเรา สัญญาของเรา
สังขารเป็นเรา สังขารของเรา
วิญญาณเป็นเรา วิญญาณของเรา"
    - หนังสือไตรลักษณ์

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ธรรมะจิปาถะ: พุทธานุสติ สวดมนต์

สังขารทั้งสิ้นย่อมแตกดับไป ไม่มีสังขารใดเลยไม่ดับ
สังขารเป็นอนิจจัง ไม่ใช่ของเที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ความสุข เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
ไม่เฉพาะแต่ปัจจุบันเท่านั้น แม้ในอดีตก็เคยแตกสลายมาแล้ว  และในอนาคตก็ต้องแตกสลายเหมือนกัน

-----------------------------------
พุทธานุสสติ

 พุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายที่สุด

ถ้าหากว่านึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย นึกถึงพระที่คอด้วย แล้วพร้อมกันนั้นเราคิดว่า ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์มาจากไหน มาจากการมีร่างกาย ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้ เราก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆ อย่างนี้จะไม่ขอมีอีกต่อไป เมื่อตายจากนี้แล้วขอไปนิพพาน ถ้าคิดอย่างนี้ทุกวันมันมีการสะสมตัว ถ้าตายวันไหนวันนั้นจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานทันที

คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน ถ้าหากว่าจิตว่างจากอารมณ์อื่นจิตจะนึกถึง พุทโธ ขึ้นมาทันที โดยที่เราไม่ต้องบังคับอย่างนี้ชื่อว่าเป็น ผู้ทรงฌาน


-----------------------------------
สวดมนต์

เดิมทีคำสอนของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้จารึกลงเป็นตัวอักษร
พระพุทธพจน์ถูกถ่ายทอดต่อกันด้วยการท่องจำสืบต่อกันมา
การท่องพระพุทธพจน์นั่นเองที่เป็นการสวดมนต์ในภายหลัง

ถ้าจะถามว่าการสวดพระปริตรจะให้สำเร็จผลตามประสงค์ได้หรือไม่ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามเรื่องนี้กับพระนาคเสนเหมือนกัน พระนาคเสนก็ถวายพระพรตอบว่า
จะให้สำเร็จผล ต้องมีเงื่อนไข ๓ อย่างคือ
๑. ต้องมีความเชื่อ
๒. ไม่มีกรรมเป็นเครื่องกางกั้น เรียกว่า กรรมวรณ์
๓. ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกางกั้น เรียกว่า กิเลสาวรณ์

ตัวอย่างที่มีกล่าวถึงในพระไตรปิฎก
พบเรื่องพระมหากัสสปและพระโมคคัลานะป่วยหนัก
พระพุทธเจ้าทรงทราบ เสด็จไปทรงเยี่ยมและทรงแสดงโพชฌงค์ ๗
เมื่อทรงแสดงธรรมจบลง พระมหากัสสปและพระโมคคัลานะหายป่วย
ที่พระมหากัสสปและพระโมคคัลลานะหายป่วยหลังจากฟังโพชฌงค์นั้น
เพราะท่านมีโพชฌงค์ ๗ อยู่ในตัวท่านบริบูรณ์ดีแล้วนั่นเอง

คุณค่าของการสวดมนต์ อยู่ที่การสำรวมกาย วาจา ซึ่งจัดเป็นศีล และจิตใจสงบผ่องแผ้วอยู่กับบทสวดเป็นสมาธิ เข้าใจความหมายของบทสวด เพิ่มพูนความคิดอ่านให้แตกฉานลึกซึ้ง จัดเข้าในปัญญา รวมความว่า เราสวดมนต์ให้ได้ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา

 
----------------------------------- 
 
อย่างเช่นบทสวดทำวัตรเย็น มีบทสวดหนึ่งที่สะดุดใจ หลังจากระลึกพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณแล้ว ก็คือ บทสำหรับพิจารณาปัจจัยสี่ (อะตีตะปัจจะเวกขะณะวิธี) ย่อว่า
  • เรานุ่งห่มจีวรใด โดยไม่ทันได้พิจารณา:
  • เรานุ่งห่มเพื่อป้องกันความหนาว ป้องกันความร้อน ป้องกันเหลือบ ยุง ลม แดด เพื่อปกปิดอวัยวะ
  • เราบริโภคอาหารใด โดยไม่ทันได้พิจารณา
  • เราไม่ได้บริโภคอาหารเพื่อความเพลิดเพลิน เราบริโภคอาหารเพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ เพื่อจะได้มีกำลังในการประพฤติพรหมจรรย์ เราย่อมระงับทุกขเวทนาเก่าคือความหิว
  • เราใช้สอยเสนาสนะใด โดยไม่ทันได้พิจารณา
  • เราอาศัยเสนาสนะเพื่อป้องกันความหนาว ป้องกันความร้อน ป้องกันเหลือบ ยุง ลม แดด เพื่อบรรเทาอันตรายจากดินฟ้าอากาศ
  • เราใช้ยารักษาโรคใด โดยไม่ทันพิจารณา
  • เราใช้ยาเพื่อระงับทุกขเวทนา เพียงเพื่อไม่ให้โรคเบียดเบียน

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า การสวดมนต์ นอกจากจะได้อนุสสติกรรมฐานแล้ว ยังได้เตือนสติตนเอง เหมือนได้อ่านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย
 

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

วิสุทธิ 7 และ ญาณ 16

1. ศีลวิสุทธิ  ต้องเป็นศีลที่ทำเพื่อละกิเลส ปรารถนาพระนิพพาน จึงจัดเป็นศีลที่บริสุทธิ์

2. จิตตวิสุทธิ  ก็เช่นเดียวกัน ต้องเป็นสมาธิเพื่อเป็นปัจจัยแก่การพ้นทุกข์ จึงจัดเป็นสมาธิบริสุทธิ์
 
3. ทิฏฐิวิสุทธิ  ปัญญาที่เห็นถูกโดยปราศจากกิเลส เห็น นามรูป ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
 
     1.) นามรูปปริจเฉทญาณ  เห็นรูปธาตุและนามธาตุเป็นคนละธาตุกันอย่างชัดเจน
 
4. กังขาวิตรณวิสุทธิ  หมดความสงสัยในการเวียนว่ายตายเกิด
 
     2.) นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ  เห็นเหตุปัจจัยของนามรูป ตามปฏิจจสมุปบาท คือการเวียนว่ายตายเกิด:
  • อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
  • สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
  • วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
  • นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ 6
  • อายตนะ 6 เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ
  • ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
  • เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
  • ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน
  • อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ
  • ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ
  • ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส 
เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดรูป คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม และอาหาร
เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดนาม คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ผัสสะ และวิญญาณ

5. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ  ปัญญาที่รู้โดยถูกต้องแน่นอนแล้วว่า วิธีการใดใช่ทาง หรือวิธีการใดไม่ใช่ทาง ที่จะดำเนินไปสู่การดับภพชาติของตน

     3.) สัมมสนญาณ เห็นสังขตธรรมลักษณะ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (ไตรลักษณ์) ของนามรูป
     4.) อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ที่ยังเป็นวิปัสสนาญาณอย่างอ่อน (ตรุณอุทยัพพยญาณ) คือ ปัญญาอันเป็นปฏิปทาที่ถูกต้อง แต่อาจจะยังไม่สมบูรณ์พอที่จะรู้เท่าทันในอารมณ์ของกิเลส คือ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง  มีโอภาสเป็นต้น

6. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ  ปัญญาที่เข้าถึงความรู้สึกในทางที่ถูก ตรงสู่พระนิพพานโดยถูกต้องแล้ว

     4.) อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ที่เจริญขึ้น (พลวอุทยัพพยญาณ) เห็นความเกิดดับของนามรูป
     5.) ภังคานุปัสสนาญาณ เห็นความดับของนามรูป
     6.) ภยตูปัฏฐานญาณ เห็นนามรูปปรากฏเป็นของน่ากลัว
     7.) อาทีนวานุปัสสนาญาณ เห็นนามรูปเป็นโทษ
     8.) นิพพิทานุปัสสนาญาณ เห็นความเบื่อหน่ายในการครองนามรูป
     9.) มุจจิตุกัมยตาญาณ อยากพ้นไปเสียจากการครองนามรูป
     10.) ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางเพื่อให้พ้นจากการครองนามรูป
     11.) สังขารุเบกขาญาณ พิจารณานามรูปด้วยความวางเฉย
     12.) สัจจานุโลมิกญาณ รู้อารมณ์ของนามรูปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะบรรลุอริยมรรค

7. ญาณทัสสนวิสุทธิ  ปัญญาในมัคคญาณที่เห็นแจ้งพระนิพพนาน

     13.)โคตรภูญาณ หัวต่อแห่งการข้ามจากภาวะปุถุชนเข้าสู่ภาวะอริยบุคคล
     14.) มัคคญาณ ญาณที่เข้าสู่ความเป็นพระอริยบุคคลแต่ละขั้น ได้แก่ โสดาปฏิมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหันตมรรค
     15.) ผลญาณ ญาณที่เข้าสู่ความเป็นพระอริยบุคคลในขั้นนั้นๆสมบูรณ์ ได้แก่ โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหันตผล
     16.) ปัจจเวกขณญาณ พิจารณาทบทวนมรรคผล กิเลสที่ละได้แล้ว กิเลสที่ยังเหลืออยู่ และพระนิพพาน

ตั้งแต่วิสุทธิที่ ๑ ถึงวิสุทธิที่  ๖ นั้น รู้อริยสัจจ์เพียง ๒ สัจจะ คือ รู้ทุกข์สัจจ์กับสมุทัยสัจจ์  ส่วนญาณทัสสนวิสุทธิเป็นโลกุตตรวิสุทธิ เพราะรู้แจ้งอริยสัจจ์ครบทั้ง ๔

- ตัดจากเว็บอภิธรรมออนไลน์
+ หนังสือวิปัสสนาภาวนา
 

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

เปล่า ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย

การเจริญวิปัสสนาโดยยึดเอาหลักปรมัตถเป็นอารมณ์ คือ นำขันธ์ 5 อายตนะ 6 ธาตุ 6 หรือรูปนาม มาพิจารณา

บทสวดมนต์ ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระวันรัต วัดโสมนัสวิหาร มีว่า

"เปล่า ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย, รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, ขันธ์ 5 มันเกิดขึ้น ขันธ์ 5 มันทำลายไปต่างหาก, มันไม่เที่ยง, มันเป็นทุกข์, ไม่ใช่ของเรา, ไม่ใช่เรา, ไม่ใช่ตัวใช่ตน, ขันธ์ 5 ต่างหาก, ช่างมันเถิด"

"เปล่า ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย, จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ, อายตนะ 6 มันเกิดขึ้น อายตนะ 6 มันดับไปต่างหาก, มันไม่เที่ยง, มันเป็นทุกข์, ไม่ใช่ของเรา, ไม่ใช่เรา, ไม่ใช่ตัวใช่ตน, อายตนะ 6 ต่างหาก, ช่างมันเถิด"

"เปล่า ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย, ดิน น้ำ ไฟ ล อากาศ วิญญาณ, ธาตุ 6 มันเกิดขึ้น ธาตุ 6 มันแตกไปต่างหาก, มันไม่เที่ยง, มันเป็นทุกข์, ไม่ใช่ของเรา, ไม่ใช่เรา, ไม่ใช่ตัวใช่ตน, ธาตุ 6 ต่างหาก, ช่างมันเถิด"

"เปล่า ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย, นามรูปมันเกิดขึ้น นามรูปมันแตกไปต่างหาก, มันไม่เที่ยง, มันเป็นทุกข์, ไม่ใช่ของเรา, ไม่ใช่เรา, ไม่ใช่ตัวใช่ตน, นามรูปต่างหาก, ช่างมันเถิด"

........................................

เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมะจึงต้องทำสติให้มีความรู้ดั่งนี้ และไม่เอาตัวเราออกรับ แต่ว่า รู้ ได้ยิน เห็น แต่ไม่เอาตัวเราออกรับ เมื่อไม่เอาตัวเราออกรับ การกระทบก็ไม่มี การกระทบที่เรียกว่าปฏิฆะนั้นก็ไม่มี ก็ไม่ทำให้จิตใจเกิดความขึ้นลง จิตใจคงสงบเป็นปรกติ ในเมื่อไม่มีปฏิฆะคือการกระทบ ความยินดีความยินร้ายต่างๆ ตลอดจนถึงกรรมต่างๆ ที่สืบเนื่องไป ก็เกิดขึ้นเพราะมีตัวเรานี่แหละออกรับ ปฏิฆะคือการกระทบก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นภพกับปฏิฆะนี้จึงเนื่องกันดั่งนี้


สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร

........................................
 
อานาปานสติ 4 ขั้นสุดท้ายในอานาปานสติ 16 เป็นธัมมานุปัสสนา หรือ วิปัสสนาล้วน :
 
ขั้นที่ 13 อนิจจานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ คือชีวิตร่างกายนี้ไม่เที่ยง
 
ขั้นที่ 14 วิราคานุปัสสี ตามเห็นความจางคลาย คือคลายยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
 
ขั้นที่ 15 นิโรธานุปัสสี ตามเห็นความดับ คือเห็นการเกิดดับของนามรูป
 
ขั้นที่ 16 ปฏินิสสัคคานุปัสสี ตามเห็นความสละคืน คือปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น
 
หนังสือวิปัสสนาภาวนา

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

อนิจจา วต สังขารา

ครั้งหนึ่ง พระที่เรียนกรรมฐาน ได้ลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าป่า...
"
พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบว่า ถ้าพระไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะพูดว่าอย่างไร
จึงให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน

พอไปถึง พระก็ถามพระสารีบุตรว่า...
"ถ้าจะปฏิบัติถึงความเป็นพระโสดาบันจะทำอย่างไรครับ?"
พระสารีบุตร ก็บอก "ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็คือร่างกาย ถ้าตัดได้อย่างหยาบ คือมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย ก็เป็นพระโสดาบัน"

พระก็ถามว่า "ถ้าผมเป็นพระโสดาบันแล้ว จะเป็นพระสกิทาคามีจะทำอย่างไรครับ?"
พระสารีบุตร ก็บอกว่า "ก็พิจารณาแบบนั้นแหละ ถ้าตัดละเอียดลงไป สามารถทรงอารมณ์ใจให้จิตสะอาดพอสมควรก็เป็นพระสกิทาคามี"

พระก็ถามว่า "ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการจะเป็นพระอนาคามีจะทำอย่างไรครับ?"
ท่านก็บอกว่า "ก็ตัดลงไปอีก ให้คิดว่าร่างกายเป็นของสกปรกโสโครก เป็นที่น่าเกลียด เรารังเกียจร่างกายว่าเป็นของเน่า ของสกปรก เกิด นิพพิทาญาณ ก็เป็นพระอนาคามี"

พระก็ถามต่อไปอีกว่า "ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว จะเป็นพระอรหันต์จะทำอย่างไรครับ?"

ท่านก็บอกว่า "ก็พิจารณาตัวนี้แหละจนกระทั่งจิตวางเฉย เฉยในร่างกายเรา เฉยในร่างกายของบุคคลอื่น เฉยในวัตถุธาตุทั้งหมด คือไม่ยินดียินร้าย ถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ มีเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดา ถ้าร่างกายเจ็บป่วยเราก็ไม่เดือดร้อน ใครเขาด่ามาก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ตัดร่างกายได้ขนาดนี้ก็เป็นพระอรหันต์"

พระก็เลยถามว่า "ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็เลิกทำใช่ไหมครับ?"
พระสารีบุตร ก็บอกว่า "ไม่ใช่ พระอรหันต์ทำหนัก เพื่อความอยู่เป็นสุข"

"
- หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา

เคยมีครั้งหนึ่งคิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมากแล้ว เหลือแต่ปฏิบัติ จึงเลิกอ่านหนังสือไป แต่เมื่อเลิกอ่านหนังสือแล้ว กลับไม่ได้ปฏิบัติ และยิ่งห่างไกลกว่าเดิม เรื่องนี้ช่วยเตือนสติว่า ไม่ใช่คิดว่ารู้แล้ว จึงเลิกอ่าน ไม่ใช่คิดว่าทำเป็นแล้ว จึงเลิกทำ

........................................

นายจุลกาลมหากาล มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา และเบื่อหน่ายการครองเรือน จึงออกบวช ได้บำเพ็ญวิปัสสนาธุระ อยู่ป่าช้าเป็นวัตร จนถึงพระอรหันตผล

วันหนึ่งท่านไปดูเผาศพเด็กรุ่นราวอายุ 18 รูปร่างสะสวย แล้วจึงพิจารณาว่า " เมื่อก่อนร่างกายนี้สวยสดงดงาม ใครเห็นก็รักใคร่ อยากได้อยากชม บัดนี้ ถึงความสิ้นความเสื่อมไปโดยครู่เดียว" และกล่าวเป็นคาถาว่า

อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข
- หนังสือนิทานธรรมบทในพระไตรปิฏก

สังขาร คือ ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อลงแล้วเหลือรูป-นาม ซึ่งล้วนไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น

ไม่ว่าเราจะได้เห็น ได้ฟัง ดมกลิ่น รู้รส สัมผัส หรือคิดอะไรก็ตาม เมื่อรับรู้แล้วก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส คิดอะไรก็สักแต่รู้ ก็ให้พิจารณาว่าไม่ใช่ตัวตน บุคคล เรา เขา แล้วถอนสัตตสัญญา สำคัญว่าเป็นสัตว์บุคคลเสีย เหลือแต่ปรมัตถสัจจะ เห็นตามความเป็นจริง และปล่อยวางลงได้

- หนังสือวิปัสสนาภาวนา

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พบอาจารย์

เคยคิดมานานแล้วหลายปี ว่าขอให้ได้พบอาจารย์ที่สามารถตอบคำถามได้ โดยที่เราไม่ต้องพูดออกมา
วันนี้ได้เจอกับตัวเองแล้ว เหมือนท่านรู้เลย ทึ่งจริงๆ นับว่าเรายังมีบุญวาสนา ที่ชีวิตนี้ได้พบพระที่ไม่ธรรมดา...

ในชีวิตนี้ก็ได้มีโอกาสทำบุญ ทำสังฑทาน กับพระที่ไม่ธรรมดาถึงหลายท่านด้วยกันนะ

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

เกร็ดพระวินัย

อกุศลจิต มี 3 ประเภท

1.  โลภมูลจิต     จิตซึ่งมี โลภะ เป็นมูลเหตุ
2.  โทสมูลจิต     จิตซึ่งมี โทสะ เป็นมูลเหตุ
3.  โมหมูลจิต     จิตซึ่งมี โมหะ เป็นมูลเหตุ  โมหะ (ความไม่รู้) เกิดกับจิตทุกดวง หมายถึงว่า โลภมูลจิต เกิดจาก โมหเหตุ และโลภเหตุ โทสมูลจิต ก็เกิดจาก โมหเหตุ และ โทสเหตุ  เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงนำไปสู่ความโลภ และความโกรธ



โลภมูลจิต มี 8 ดวง มาจากการแบ่งด้วย 3 นัยยะ นัยยะ ละ 2 แบบ

นัยยะ1:  4 ดวง  เกิดร่วมกับความเห็นผิด (ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺต) อีก 4 ดวง  ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด (ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺ)

นัยยะ 2: เวทนา ที่เกิดพร้อมกับโลภมูลจิต อาจเป็น โสมนัสเวทนา   หรือ อุเบกขาเวทนา แต่โทมนัสเวทนาจะไม่เกิดกับโลภมูลจิต ดังนั้น โลภมูลจิต 8 ดวง 4 ดวง เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา 4 ดวง เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา

นัยยะ 3: เป็น อสังขาริก   (ไม่มีการชักจูง)  หรือ สสังขาริก (มีการชักจูง)


โลภะแบ่งเป็นระดับขั้น: ขั้นหยาบ  ขั้นกลาง   และ ขั้นละเอียด
เป็นเหตุให้ทำสิ่งที่ธรรมดาที่สุดบ่อยๆในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะที่อยากยืน อยากหยิบจับอะไรๆ
ขั้นละเอียดเกิดขึ้นเมื่อชื่นชอบกลิ่นหอม หรือเพลงเพราะๆ


ถึงตรงนี้จึงทำให้รู้ว่า พระวินัย ไม่ได้บัญญัติไว้เพื่อความสำรวมสำหรับพระภิกษุอย่างที่เคยเข้าใจเท่านั้น 
แต่เพื่อให้ระลังโลภะขั้นละเอียดด้วย 
ดังใน ปาจิตตีย์  92 (แปลตามตัวอักษรว่า การละเมิดอันยังกุศลให้ตก เป็นอาบัติหมวดหนึ่งในลหุกาบัติ (อาบัติเบา)) ที่ห้ามภิกษุพูดปด ห้ามล้อเลียนพระภิกษุอื่น ห้ามเล่นในน้ำ เป็นต้น 
ก็เนื่องมาจากว่า การกระทำเหล่านี้เกิดจากอกุศลจิต นั่นเอง



บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก