วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

อนิจจา วต สังขารา

ครั้งหนึ่ง พระที่เรียนกรรมฐาน ได้ลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าป่า...
"
พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบว่า ถ้าพระไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะพูดว่าอย่างไร
จึงให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน

พอไปถึง พระก็ถามพระสารีบุตรว่า...
"ถ้าจะปฏิบัติถึงความเป็นพระโสดาบันจะทำอย่างไรครับ?"
พระสารีบุตร ก็บอก "ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็คือร่างกาย ถ้าตัดได้อย่างหยาบ คือมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย ก็เป็นพระโสดาบัน"

พระก็ถามว่า "ถ้าผมเป็นพระโสดาบันแล้ว จะเป็นพระสกิทาคามีจะทำอย่างไรครับ?"
พระสารีบุตร ก็บอกว่า "ก็พิจารณาแบบนั้นแหละ ถ้าตัดละเอียดลงไป สามารถทรงอารมณ์ใจให้จิตสะอาดพอสมควรก็เป็นพระสกิทาคามี"

พระก็ถามว่า "ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการจะเป็นพระอนาคามีจะทำอย่างไรครับ?"
ท่านก็บอกว่า "ก็ตัดลงไปอีก ให้คิดว่าร่างกายเป็นของสกปรกโสโครก เป็นที่น่าเกลียด เรารังเกียจร่างกายว่าเป็นของเน่า ของสกปรก เกิด นิพพิทาญาณ ก็เป็นพระอนาคามี"

พระก็ถามต่อไปอีกว่า "ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว จะเป็นพระอรหันต์จะทำอย่างไรครับ?"

ท่านก็บอกว่า "ก็พิจารณาตัวนี้แหละจนกระทั่งจิตวางเฉย เฉยในร่างกายเรา เฉยในร่างกายของบุคคลอื่น เฉยในวัตถุธาตุทั้งหมด คือไม่ยินดียินร้าย ถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ มีเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดา ถ้าร่างกายเจ็บป่วยเราก็ไม่เดือดร้อน ใครเขาด่ามาก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ตัดร่างกายได้ขนาดนี้ก็เป็นพระอรหันต์"

พระก็เลยถามว่า "ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็เลิกทำใช่ไหมครับ?"
พระสารีบุตร ก็บอกว่า "ไม่ใช่ พระอรหันต์ทำหนัก เพื่อความอยู่เป็นสุข"

"
- หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา

เคยมีครั้งหนึ่งคิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมากแล้ว เหลือแต่ปฏิบัติ จึงเลิกอ่านหนังสือไป แต่เมื่อเลิกอ่านหนังสือแล้ว กลับไม่ได้ปฏิบัติ และยิ่งห่างไกลกว่าเดิม เรื่องนี้ช่วยเตือนสติว่า ไม่ใช่คิดว่ารู้แล้ว จึงเลิกอ่าน ไม่ใช่คิดว่าทำเป็นแล้ว จึงเลิกทำ

........................................

นายจุลกาลมหากาล มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา และเบื่อหน่ายการครองเรือน จึงออกบวช ได้บำเพ็ญวิปัสสนาธุระ อยู่ป่าช้าเป็นวัตร จนถึงพระอรหันตผล

วันหนึ่งท่านไปดูเผาศพเด็กรุ่นราวอายุ 18 รูปร่างสะสวย แล้วจึงพิจารณาว่า " เมื่อก่อนร่างกายนี้สวยสดงดงาม ใครเห็นก็รักใคร่ อยากได้อยากชม บัดนี้ ถึงความสิ้นความเสื่อมไปโดยครู่เดียว" และกล่าวเป็นคาถาว่า

อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข
- หนังสือนิทานธรรมบทในพระไตรปิฏก

สังขาร คือ ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อลงแล้วเหลือรูป-นาม ซึ่งล้วนไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น

ไม่ว่าเราจะได้เห็น ได้ฟัง ดมกลิ่น รู้รส สัมผัส หรือคิดอะไรก็ตาม เมื่อรับรู้แล้วก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส คิดอะไรก็สักแต่รู้ ก็ให้พิจารณาว่าไม่ใช่ตัวตน บุคคล เรา เขา แล้วถอนสัตตสัญญา สำคัญว่าเป็นสัตว์บุคคลเสีย เหลือแต่ปรมัตถสัจจะ เห็นตามความเป็นจริง และปล่อยวางลงได้

- หนังสือวิปัสสนาภาวนา

6 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก