วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
วิภวตัณหา
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2564
เอาไว้เตือนตนเอง
บุคคลที่อยู่ในทางโลก มิควรไปกล่าวว่าบุคคลที่อยู่ในทางธรรม
บุคคลที่อยู่ในทางธรรม ก็เช่นเดียวกัน มิควรไปติติงบุคคลที่อยู่ในทางโลก
พอเรามาแตะธรรมะนิดนึงก็โพนทะนาว่าคนอื่น
พอเรารู้ธรรมะ (แต่)คนอื่นไม่รู้ 'เธอเสียเวลา เอาเวลาไปทำอะไร ทำไมไม่ไปเรียนธรรมะ'
แค่รู้ธรรมะ(เท่า)หางอึ่ง ว่าคนอื่น(เสีย)แล้ว
(ท่านจึงว่า) เรียนธรรมะแล้วเหมือนจับงูพิษที่หาง
(เพราะฉะนั้น) ไม่ต้องพูด
🍀🍀🍀
ใจมันเบื่อ อยากจะลาออก ... อย่าทำอย่างนั้นเชียวนะ
ที่มา: เรื่องที่ไกลเอามาเล่าใหม่ 1
🍀🍀🍀
เพิ่งคิดแบบเดียวกันนี้ได้ไม่นาน ก็ได้ฟังของอ.ประเสริฐพอดีเลยแหะ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน แค่เพียงใบไม้หนึ่งกำมือ แต่แม้ใบไม้ใบเดียว ก็ยังไม่กล้าพูดเลยว่า ได้รู้และเข้าใจขนาดนั้นแล้ว และก็ไม่รู้ด้วยว่าที่ตัวเองรู้และเข้าใจนั้น ถูกต้อง 100% แล้วหรือยัง
ในเมื่อไม่ได้รู้ใบไม้ทั้งกำมือ ทำไมจะกล้าตัดสินว่าสิ่งที่คนอื่นรู้หรือเข้าใจนั้นผิดเล่า (เหมือนตาบอดคลำช้างไง)
อาจจะเป็นขั้นตอนและวิธีของแต่ละคน ที่จะได้เข้าถึงแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หรือ
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564
แปลเป็นอภิธรรมได้ว่า
Proverbs 3:5-6
5 Trust in the Lord with all your heart
and lean not on your own understanding;
6 in all your ways submit to him,
and he will make your paths straight.
5
ก็ถือเป็นกุศโลบายที่ดี เพราะผลลัพธ์ที่ได้ คือ การปล่อยวาง และ ความสบายใจนั่นเอง
จะพอเปรียบเทียบเป็นอภิธรรม เรื่องการปล่อยวาง แบบนี้ได้ไหมว่า
วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564
มรรค ๘
เรื่องมรรค ๘ ก็เป็นเหมือนเรื่องอริยสัจ ๔ ในบทความแรก ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่นัก
อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่าคำสอนต่างๆจะสรุปลงในมรรค ๘ ได้อย่างไร
ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม จำได้ว่า สัมมาทิฏฐิ แปลว่า เห็นชอบ ก็รับรู้แค่นั้น
• สัมมาวาจา ก็เข้าใจแค่ว่า เว้นจากการพูดเท็จ, พูดส่อเสียด, พูดคำหยาบ, พูดเพ้อเจ้อ
• สัมมาวาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ทุกวันนี้ก็ทำงานสุจริต
จนเมื่อเร็วๆนี้ ได้ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง อธิบายความหมายของคำว่า สัมมาทิฏฐิ
จำคำพูดไม่ได้แม่นยำนัก แต่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยจำมา จึงสะดุดใจ และมาค้นหาความหมายของสัมมาทิฏฐิ
การฝึกจิตให้รู้ปล่อยวางความวุ่นวาย ความรู้สึกยินดียินร้าย ที่เกิดเป็นกิเลส อกุศล เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้จิตไม่เศร้าหมอง
การท่องธัมมะภาวนาไว้ในใจอยู่เสมอ จะช่วยให้จิตรู้ปล่อยวาง ยิ่งเพียรได้ตลอดยิ่งดี ใจก็เกิดความสบาย จัดเป็นการดำริชอบตามอริยมรรคมีองค์ ๘
อกุศลทางกาย ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
อกุศลทางวาจา ได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
อกุศลทางใจ ได้แก่ อยากได้ของผู้อื่น ปองร้าย และเห็นผิดจากคลองธรรม คือ ไม่เห็นว่า
- ทานที่ให้แล้วมีผล
- การสงเคราะห์มีผล
- การยกย่องบูชาบุคคลที่ควรบูชามีผล
- ผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วมีจริง
- โลกนี้มี
- โลกหน้ามี
- แม่มี
- พ่อมี
- สัตว์ที่เกิดแบบโอปปาติกะมี
- พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วมี
สัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้นของการทำกุศลธรรม และอยู่ในหมวดของปัญญา ในศีล-สมาธิ-ปัญญา
🍀🍀🍀
จำไม่ได้ว่าได้ยินจากพระ/อาจารย์ท่านไหน สอนว่า "มรรค 8 ทุกข้อ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์"
เพิ่งจะเริ่มเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ความว่า ...
บุคคลย่อมพยายามละมิจฉาวาจา เพื่อบรรลุสัมมาวาจา ความพยายามนั้น เป็นสัมมาวายามะ
บุคคลมีสติละมิจฉาวาจาได้ มีสติบรรลุสัมมาวาจาอยู่ สตินั้นเป็นสัมมาสติ
ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาวาจาของบุคคลนั้น ฯ
(๕) ถ้าบัณฑิตรู้จักกาลแล้ว พึงประสงค์จะพูด
- ควรเป็นคนมีปัญญา
- ไม่เป็นคนเจ้าโทสะ
- ไม่โอ้อวด
- มีใจไม่ฟุ้งซ่าน
- ไม่ใจเบาหุนหันพลันแล่น
- ไม่เพ่งโทษ
กล่าวแต่ถ้อยคำที่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในธรรมพูดกัน และประกอบด้วยธรรมซึ่งพระอริยเจ้าพูดจากันเพราะรู้ทั่วถึงได้เป็นอย่างดี เขาจึงพาทีได้
- บุคคลควรอนุโมทนาคำที่เป็นสุภาษิต
- ไม่ควรรุกรานในถ้อยคำที่กล่าวชั่ว
- ไม่ควรศึกษาความแข่งดี
- และไม่ควรยึดถือความพลั้งพลาด
- ไม่ควรทับถม
- ไม่ควรข่มขี่
- ไม่ควรพูดถ้อยคำเหลาะแหละ
(๖) วาจาใด เป็นปม เป็นกาก เผ็ดร้อนต่อผู้อื่น เกี่ยวผู้อื่นไว้ ยั่วให้โกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ ละวาจาเช่นนั้นเสีย
วาจาใด ไร้โทษ สบายหู ไพเราะ จับใจ เป็นวาจาของชาวเมืองเป็นที่ยินดีเจริญใจของชนหมู่มาก กล่าววาจาเช่นนั้น
ที่มา ส - สัมมาสมาธิ | มูลนิธิอุทยานธรรม
🍀🍀🍀
สัมมาวาจา คือ วาจาที่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน นั่นแล
ความเข้าใจที่เคยมีมานี้ ช่างตื้นเขินเสียจริงๆ ก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า รู้มรรค 8 ทั้งหมด ก็ต้องศึกษาต่อไป :)
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
ทุนจม
จิตตานุปัสสนา
เปิดอ่าน 2-3 เว็บ ของเว็บนี้ถูกต้องแล้ว
...
บุคคลผู้ทรงปัญญาย่อมปฏิบัติกระทำจิตของตนให้ตรงได้ เหมือนอย่างนายช่างศรดัดลูกศร
อารมณ์และกิเลสเหล่านี้ คือมาร เหวี่ยงบ่วงอันได้แก่อารมณ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกิเลส เข้ามาสู่จิต แล้วจิตก็ทรงไว้ ซึมซาบอยู่ในจิต
อารมณ์ คือเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จิตที่มิได้อบรมย่อมรับบ่วงของมารเข้ามาคล้องเอาไว้ คือผูกจิตไว้ ประกอบจิตไว้
จึงปรากฏเป็นตัวกิเลส ราคะหรือโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง จิตที่มิได้รับการอบรมย่อมดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในอารมณ์
จิตที่สงบ เป็นจิตที่ประกอบด้วยอุเบกขาคือความเป็นกลาง วางความยินดีความยินร้าย วางอารมณ์ เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสตัณหา
...
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีเหตุผลเสมอ
บทความที่ได้รับความนิยม
-
จริงๆได้เคยหาอ่านศึกษาเรื่องยันต์มาบ้าง เห็นว่ายันต์และอักษรขอมนั้นสวยดี อิ สวา สุ นะ มะ อะ อุ นะ โม พุ ทธา ยะ นะ ม...
-
พระเจ้าโกรัพยะประทับนั่งแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระรัฐปาละว่า ท่านรัฐปาละผู้เจริญ ความเสื่อม ๔ ประการนี้ คือ ความเสื่อมเพราะชรา ๑ ความเสื่อมเพรา...
-
" คนที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้นั้น ต้องเห็นโลกเป็นทุกข์ทุกมุม ไม่มีกรณีใดๆทั้งหมด สิ่งที่มีในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตก็ได้ วัตถุก็ดี หร...