วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปฏิจจสมุปบาท



  • ความไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่ทราบ,ไม่รู้ธรรมชาติของทุกข์ คือ ไม่รู้กระบวนธรรมการเกิดขึ้น และการดับไปแห่งทุกข์ คือ ไม่รู้ในธรรมข้อที่ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยมาประชุมปรุงแต่งกัน อาศัยกันและกันจึงเกิดขึ้นได้ตามหลักอิทัปปัจจยตา  เมื่อกําจัดเหตุปัจจัยบางประการเสียได้ ย่อมทําให้ธรรมนั้นไม่ครบองค์หรือขาดสมดุลย์ที่จะประชุมปรุงแต่งกันขึ้นมาได้   อุปาทานทุกข์หรือธรรมนั้นๆก็ย่อมไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้  (เป็นการปฏิบัติในขั้นปัญญา)



  • เนื่องจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจจึงหยุดวงจรแห่งทุกข์นั้นไม่ได้,  และเหล่าอาสวะกิเลสเหล่านี้จะหมักหมม นอนเนื่องอยู่ในจิต ตามปกติจะมองไม่เห็นเช่น โกรธเกลียดใครอยู่คนหนึ่ง และไม่พบกันเป็นเวลานานๆ  เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นเวลาหลายปีเมื่อมาเจอกันอีก อาสวะกิเลส(อุปายาส-ความขุ่นข้อง คับแค้นใจ)ที่นอนเนื่องสงบอยู่ จนไม่เคยคิดว่ายังมีอยู่  จะเกิดขึ้นทันที [สัญญาสินะ]


  • เพราะอวิชชาคือไม่รู้ในรูปที่ตาเห็นนั้น จึงได้ยึดถือแล้วก็ปรุงแต่งรูปนั้น ว่านี่สวยนี่งาม นี่ไม่สวยนี่ไม่งาม นี่เป็นสังขารคือปรุงแต่ง กิเลสก็เกิดขึ้นจับทันที ราคะความติดความยินดี โลภะความโลภอยากได้ก็บังเกิด หรือว่าโทสะปฏิฆะความหงุดหงิดกระทบกระทั่งขัดเคือง
    อันที่จริงนั้นเมื่อคนเห็นอะไรทางตา รูปที่ตาเห็นนั้นก็เกิดดับไปทันทีในขณะนั้น แล้วรูปอื่น เห็นรูปอื่นขึ้นอีกก็เกิดดับไปทันทีในขณะนั้น แต่คราวนี้ยังไม่ดับอยู่ในใจ เพราะว่าจิตใจนี้ยังมีอวิชชาคือไม่รู้ว่านี่คือตัวทุกข์ เป็นตัวสังขาร เป็นสิ่งที่เกิดดับ เมื่อเป็นดั่งนี้จึงยึดถือ ยึดถือเอารูปนั้นมาตั้งอยู่ในใจ
.......


  • มีสติรู้เท่าทันจิต หรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นแล้ว อันคือจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐานอันได้แก่ ความคิดนึกปรุงแต่งมักมีกิเลสตัณหาแฝงมากับเวทนาด้วยอย่างไม่รู้ตัว  ซึ่งมักแอบแฝงมาในรูปความคิดเห็นต่างๆอันย่อมมีเวทนาเกิดขึ้นแต่ไม่แสดงอย่างชัดเจนว่าเกิดกิเลสตัณหา

คัดลอกจาก
www.nkgen.comwww.dhamma-gateway.com
.......
  • เหตุแห่งทุกข์นั้นยังมีอยู่  แต่ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น
    (ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต การโก น, กิริยา วิชฺชติ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก