วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เหนื่อยมากแล้ว

ไปพักที่ที่หนึ่งมา แล้วเขามีสถานที่ให้เดินจงกรม

ก็นั่งนึกๆว่า ทำไมเราถึงต้องเดินจงกรมนะ

หรือการให้ไปรวมกลุ่มกันนั่งสมาธิ ดูจะไม่ใช่แนวทางของเราเลย

รู้สึกว่า ที่เราเจออยู่ทุกวี่วันเนี่ย มันเด็ดกว่านั้นเยอะ

สิ่งต่างๆที่มากระทบ มันช่างพรั่งพรู จนไม่อยากรับ ยังไม่รวมถึงความคิดที่คอยผุดขึ้นมาเนืองๆ

ก็ครึ้มอกครึ้มใจหยิบหนังสือของท่านว.วชิรเมธี ที่มีคนวางไว้มาอ่าน เจออะไรเป๊ะๆอีกแล้ว

...

ภิกษุรูปหนึ่งบวชแล้ว พบว่าพระวินัยหยุมหยิม เสี่ยงต่อการละเมิดพระวินัย จึงไปลาสิกขา

พระพุทธองค์แนะนำว่า รักษาเพียงอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาวินัยทุกข้อ 

สิ่งนั้น คือ จิต

...

เราจึงไม่ควรบั่นทอนสติ ด้วยการตกเป็นทาส 

เราควรจะหลีกเลี่ยงจากบุคคลที่ชวนให้ขาดสติ

...

ผู้มีจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง คือ ความเกิดและความดับแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

...

การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ต้องปฏิบัติท่ามกลางสภาวะอารมณ์ที่ไม่ถูกควบคุม 

หากแต่เป็นการปฏิบัติในชีวิตจริง ที่อะไรๆมิได้สงบอย่างที่เราถวิลหา 

แต่การครองจิตอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายได้นี่แหละ คือตัววัดที่แท้จริง

...

เบื่อกับการต้องแสดงละครทางโลก

ฟังแล้วรู้สึกเหมือน มีคนมาชักชวนว่า 

 ... เธอเกิดความฟุ้งซ่านรำคาญใจสิ แล้วแบ่งปันมาให้เราด้วย 

 ... เธอมีราคะและอัตตาน้อยเกินไป เธอต้องมีราคะและอัตตามากกว่านี้นะ

เฮ้อ!

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2563

อยู่มานับกัปไม่ถ้วน อยู่อีกไม่ถึงร้อยปีจะเป็นไรไป

อยากรู้ว่า คนที่เกิดอารมณ์ นิพพิทาญาณ จะมีความคิดความอ่าน หรือความรู้สึกอย่างไร

จะรู้สึกประมาณว่า มันเบื่อมากแล้ว จะเอาอะไรมาแลก(หลอกล่อ)เพื่อให้อยู่ ก็คงไม่เอาแล้ว แบบนี้หรือเปล่า

👇

ความปรารถนาที่จะออกจากวัฏสงสารมีสองประเภท

 หนึ่ง ปรารถนาเพราะเห็นโทษในการเวียนว่ายตายเกิด ตามความเป็นจริง

 สอง ปรารถนาเพราะเบื่อหน่าย เบื่อสังคม เบื่อชีวิตครอบครัว เบื่อนั่นเบื่อนี่ หาที่สนุก หาที่สบายอยู่ตลอดเวลา ไม่นานก็เบื่ออีกแล้ว ต้องไปหาของใหม่แทน

หลวงพ่อชาสอนว่า ฝึก ให้รู้จักวิธี ไม่เป็นเจ้าของอารมณ์

เบื่อทั่วไปคือกิเลส นิพพิทาคือทางออกจากกิเลส เกิดความสลดสังเวช เกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องมีจิตใจที่เป็นอย่างนี้

“ถ้ายังเกิดอยู่ชีวิตก็น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้แหละ แต่ถ้าเราตายไปพระนิพพานได้ ชาตินี้ยังไงก็อยู่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี เทียบกับการเวียนว่ายตายเกิดนับกัปไม่ถ้วน ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้”

นิพพิทาญาณ จัดเป็นเครื่องวัดในการปฏิบัติว่า ดำเนินมาอย่างถูกต้องหรือไม่? กล่าวคือ ถ้าปฏิบัติแล้วเกิดนิพพิทา ก็เป็นเครื่องชี้นำได้อย่างดีว่า ปฏิบัติมาอย่างถูกต้องแนวทางดีแล้ว

ถ้าปฎิบัติแล้วมีความรู้สึกอวดดี อวดเก่ง อวดรู้ แปลว่าปฏิบัติผิดพลาด

นิพพิทา เป็นไปเพื่อการหน่ายในอารมณ์ที่ผัสสะ เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด หรือความอยากนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ธาตุ 4

มีความเข้าใจคำว่า ธาตุ 4 ไม่ ตรงกับที่คนอื่นๆ มักจะเข้าใจกัน ที่ว่า
  • ดิน - มีลักษณะแข้นแข็ง คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
  • น้ำ - มีลักษณะเอิบอาบ คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
  • ไฟ - มีลักษณะร้อน คือ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย
  • ลม - มีลักษณะพัดไปมา คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ

เช่นว่า แม้จะเป็นเลือด หรือ เหงื่อ แต่ในเมื่อเราสามารถสัมผัสหรือจับต้องได้ ก็แสดงว่า ต้องเป็นธาตุดิน ได้พบคำอธิบายตามด้านล่างนี้ ก็กระจ่างขึ้นมา

ที่อธิบายธาตุในลักษณะตามด้านบนนั้นด้วยความเด่นเเห่งธาตุ เพื่อประโยชน์ในการเจริญกรรมฐาน แต่ในพระอภิธรรมนั้น ...

ปฐวีธาตุเป็นสภาวะพื้นฐานที่มีอยู่ในรูปธรรมทุกอย่าง ซึ่งรู้สึกถูกต้องได้ด้วยกายสัมผัส

ผม ขน เล็บ เหล่านั้นก็มีธาตุน้ำรวมอยู่ด้วย แม้อาโปธาตุจะเป็นสภาวะที่สัมผัสด้วยกายไม่ได้ แต่ก็มีในรูปธรรมทั่วไป คือ การเกาะกุมของสสาร (ธาตุดิน) ถึงทำให้ธาตุดินสามารถรวมกันอยู่ได้ เป็น รูปร่าง รูปทรงต่างๆ หากไม่มีธาตุน้ำการทรงอยู่เป็นรูปร่างของสิ่งใดๆ ก็มีไม่ได้
หากมีการเกาะกุมกันอย่างหนาแน่น ก็เป็นของแข็ง หละหลวมลงก็เป็นของเหลว หละหลวมลงอีกก็เป็นไอ

ผม ขน เล็บ เหล่านั้นก็มีธาตุไฟรวมอยู่ด้วย คือ ลักษณะความร้อนหรือเย็น (มีอุณหภูมิ) แล้วแต่เหตุปัจจัย เช่น หยิบผมออกจากจานข้าวร้อนๆ ผมนั้นก็มีความร้อนอยู่ หรือหยิบผมออกจากแก้วน้ำแข็ง ผมนั้นก็มีความเย็นอยู่ (ตรงนี้นึกถึง จริงๆแล้ว ความเย็นไม่มี มีแค่ความร้อนที่มากหรือน้อย) อันที่จริงไม่มีใครจะสามารถเเยกอุณหภูมิออกจากรูปใดได้เลย ทุกสิ่งต้องมีอุณหภูมิ เตโชธาตุจึงเป็นหนึ่งในสี่เเห่งธาตุที่เป็นพื้นฐานในทุกรูป

วาโยธาตุ คือ สภาพสั่นไหว หรือค้ำจุน
ผม ขน เล็บ เหล่านั้นก็มีธาตุลมรวมอยู่ด้วย คือ ความตึง ความไหว ความยืด ความเหี่ยว ความย่น ลักษณะความยืดหยุ่นนี้มีอยู่รวมในทุกรูปแยกออกมาไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเเยกความเหนียว ความดัน ความหนาเเน่น ความตึงออกจากรูปได้ ทุกรูปมีธาตุลมเป็นลักษณะพื้นฐาน


นอกจากนี้ ก็จะมี (เรียกว่า ธาตุ 6)

อากาศธาตุ สภาวะที่ว่าง, ความเป็นที่ว่างเปล่า,
       ช่องว่างในร่างกาย ที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องอวัยวะต่างๆ


วิญญาณธาตุ ธาตุรู้, ความรู้แจ้ง


https://www.dhammahome.com/webboard/topic/15663

.....


(( ชอบคำอธิบายแบบนี้ ถ้าเจอคำอธิบายที่ไม่ตรงจริงๆ จะไม่เข้าใจเลย หรือถ้าเอาธรรมะไปอุปมาอุปไมย นอกจากจะไม่ช่วยให้เข้าใจแล้ว ยังทำให้งงหนัก ))


วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563

ทรงอารมณ์

  • ราคะ ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ

    ... รสอาหาร ซึ่งมีรสอร่อยมันเป็นความเลว ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเวลากินให้พิจารณาเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญา เห็นว่าอาหารมาจากธาตุของความสกปรก
    เราไม่กินเพื่อความอ้วนพี
    เราไม่กินเพื่อความผ่องใส
    เราไม่กินเพื่อยังกิเลสให้เกิดขึ้นในใจ
    กินเพื่อยังอัตภาพให้ทรงอยู่เพื่อปฏิบัติความดี
    ... ฉะนั้น อาการเกลือกกลั้วกับกามารมณ์ทั้ง 5 ประการ จึงจัดว่ามีอารมณ์จิตชั่วอย่างยิ่ง 


  • ความโกรธ ความพยาบาท ความระแวงสงสัย ในบุคคลอื่นว่าจะเป็นศัตรูกับเรา ความจริงพระพุทธเจ้าให้วางเสีย ถ้าเราดีแล้วใครเขาจะมาเป็นศัตรูกับเรา มีจิตทรงสมาธิเป็นฌานสมาบัติ มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส มันจะชั่วตรงไหน

  • มีจิตทรงอารมณ์ของกุศลอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ฌานจะปรากฏประกอบไปด้วยปัญญา แม้ว่าจะไม่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ภาวนา พุทโธ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีสมาธิใน พุทธานุสสติกรรมฐาน ธัมมานุสสติกรรมฐาน สังฆานุสสติกรรมฐาน เพราะจิตเราทรงตรงอยู่ในความดี ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่เป็นองค์สมาธิที่มีความสำคัญ

  • จิตต้องประกอบไปด้วยความกรุณา ความสงสาร เห็นว่าเราควรจะสงเคราะห์ทั้งหมด ตามกำลังที่เราจะพึงทำได้ อารมณ์จิตเราจะอ่อนโยน ไม่หวั่นไหวไปในความชั่ว พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยาบุคคลอื่น เป็นอารมณ์ของพรหม เป็นอารมณ์ของนิพพาน

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563

อรูปพรหม

เคยได้เรียนได้อ่านมาว่า

อาฬารดาบสและอุทกดาบส ไปเกิดในอรูปพรหม ไม่มีรูป ไม่มีตามองเห็น ไม่มีหูได้ยิน มีแต่จิต จึงฟังธรรมไม่ได้

อ่านแล้ว รู้สึกไม่ใช่อ่ะ ทำไมมีจิตแล้วจะสื่อสารไม่ได้
ก็ search google ไปเรื่อยๆ เจอคำอธิบายนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้มากกว่า

" จิตที่ทำกิจปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ คือ  อรูปาวจรวิบาก  เมื่อทำกิจปฏิสนธิ  ก็ทำกิจภวังค์ รักษาภพชาติความเป็นพรมหบุคคลนั้นไว้    จนกว่าจะจุติ   สิ้นสุดจากความเป็นอรูปพรหมบุคคล   เพราะฉะนั้น  การรับผลของกรรมของอรูปพรหมบุคคล  จึงไม่เกี่ยวข้องกับทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  เพราะไม่มีรูปธรรมเกิดขึ้น (แม้ทางใจก็ไม่มี) "

" ขณะที่เป็นภวังค์ เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารใด ๆ ใน ๖ ทวารเลย "

เพราะจิตอยู่ในภวังค์ จึงไม่สามารถรับรู้สื่อสารได้ (ตามความรู้ความเข้าใจตอนนี้)

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2563

ใช่เลย

พระองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย ที่กายที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ

ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา ให้เห็นการเกิดดับของกายและใจ แต่อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวาย เกิดขึ้นก็ปล่อยไป อย่าเก็บไว้

พอเข้าใจได้ชัด ทีนี้ก็จะปล่อยอะไรๆ ได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่ว่าความคิดความรู้สึกมันจะหายไป มันก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่มันหมดอำนาจเสีย

รูปก็เป็นสักแต่ว่ารูป เสียงก็สักแต่ว่าเสียง กลิ่นก็สักแต่ว่ากลิ่น รสก็สักแต่ว่ารส โผฎฐัพพะก็สักแต่ว่าโผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ก็สักแต่ว่าธรรมารมณ์ ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด เปรียบเหมือนน้ำมันกับน้ำ ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างนี้เทใส่ขวดเดียวกัน มันก็ไม่ปนกัน

("ภาษาธรรม" เมื่อเอามาคิดเป็นภาษาโลกมันก็เลยยุ่ง แล้วก็ตีความหมายว่าอย่างนั้นอย่างนี้)

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก