วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เวทนา

...ความย่อ...


พระโมคคัลลานะทูลถามว่า ด้วยข้อปฏิบัติอย่างไร ภิกษุจึงได้ชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัญหา มีความสำเร็จอย่างยิ่ง เกษมจากโยคะธรรมอย่างยิ่ง ...


พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า โมคคัลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ครั้นได้สดับดังนี้แล้ว เธอทราบธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบธรรมทั้งปวงชัดอย่างนี้แล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว ว่าเธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นสุขก็ดี จะเป็นทุกข์ก็ดี ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นว่า เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเป็นดังนี้ เธอย่อมมีปัญญาในทางเบื่อหน่าย ในทางดับ ในทางสละคืนซึ่งเวทนา คือความรู้สึกในอารมณ์ทั้งปวง เมื่อเป็นดังนี้ เธอย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสได้เฉพาะตน เพราะทราบชัดว่า ความเกิดสิ้นแล้ว พรมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้เป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว ...


ดูกรโมคคัลลานะ โอวาทที่ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็นยอดของธรรมอันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ โดยไม่มีเชื้อเหลือ คือความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง อนุปาทาปรินิพาน


สิ่งใดที่บุคคลเข้าไปยึดมั่นแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์นั้น หามีไม่ แต่โลกนี้มีเหยี่อล่อ เพื่อให้ผู้ไม่รู้เท่าทันติดอยู่ สยบอยู่ หมกมุ่นพัวพันอยู่ และโลกก็นำทุกข์นั้นเจือลงไป แทรกซึมลงไว้ ในสิ่งที่บุคคลติดอยู่ หมกมุ่นพัวพันอยู่นั่นเอง โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ใครขวนขวายปรารถนาในอารมณ์โลก ก็เหมือนกับการตักน้ำไปเทรดทะเลทราย หรือการขนน้ำลงไปเทลงในมหาสมุทร เหนื่อยแรงเปล่า ชาวโลกจึงมีความเร่าร้อนดิ้นรน เพื่อให้เต็มปราถนา แต่ก็หาสำเร็จไม่ ยิ่งดื่มอารมณ์โลก ทุกข์เวทนาอย่างโลกๆ ก็ดูเหมือนว่า จะเพิ่มความอยากให้มากขึ้น เหมือนดื่มน้ำเค็ม ยิ่งดื่มยิ่งกระหาย หรือเหมือนคนที่เกาแผลคัน ยิ่งเกายิ่งคัน ยิ่งคันยิ่งเกา วนเวียนอยู่อย่างนั้น สู้คนที่พยายามรักษาแผลให้หาย แล้วไม่ต้องเกาไม่ได้ เป็นการดับที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก