วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เห็นคุณค่า

พระมหากัปปินเถระ...ความย่อ...


มัยพุทธกาล มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งชื่อ พระมหากัปปินะราชา จะส่งอำมาตย์ออกไปสืบข่าวจากพระนครไปไกล ๒-๓ โยชน์ วันหนึ่งได้ทราบข่าวจากพวกพ่อค้าจากกรุงสาวัตถีว่า


พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
พระธรรมเกิดขึ้นแล้วในโลก
พระสงฆ์เกิดขึ้นแล้วในโลก


พระเจ้ามหากัปปินะได้สดับดังนั้น ก็เกิดปิติ ท่านถามซ้ำอีก  ครั้ง จึงรับสั่งให้พระราชทานรางวัลแก่พ่อค้า และสละราชสมบัติให้พระชายา ส่วนพระองค์เองก็เสด็จออกบวช


เส้นทางเสด็จของพระเจ้ามหากัปปินะนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบาก ผ่านทั้งป่าและภูเขา โดยเฉพาะแม่น้ำใหญ่ ๓ สาย จึงดำริว่า “ถ้าจะรอเวลาหาเรือหรือแพก็จะทำให้ล่าช้า เพราะความเกิดนำไปสู่ความแก่ ความแก่นำไปสู่ความเจ็บและความเจ็บนำไปสู่ความตาย ทุกลมหายใจเข้าออกย่อมนำไปสู่ความแก่และความตายทั้งนั้น เราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ดังนั้นเราออกบวชเพื่ออุทิศต่อพระรัตนตรัย ด้วยอานุภาพแห่งรัตนตรัยนั้น ขอให้น้ำนี้จงอย่าได้เป็นเหมือนน้ำเลย” ครั้นเสด็จลงสู่แม่น้ำ ม้าก็วิ่งไปเหมือนวิ่งบนแผ่นดินโดยไม่เปียกเลย


ส่วนพระนางอโนชาเทวี พระชายาเมื่อได้รับข่าวแล้ว เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า เสด็จออกบวชเช่นกัน ทั้งสองพระองค์สำเร็จเป็นพระอรหันต์

.....

ท่านทั้งสองเห็นความสำคัญว่า 

โอกาสที่พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นนั้นยากแสนยาก 
โอกาสที่พระธรรมจะปรากฏบนโลกนั้นยากแสนยาก 
โอกาสที่พระสงฆ์จะพัฒนาตนไปสู่ความบริสุทธิ์หมดจดนั้นยากแสนยาก

.....

ารผู้ใจบาปได้เนรมิตร่างเป็นพราหมณ์แก่ ห่มหนังเสือ หายใจเสียงดังครืดคราดๆ เดินถือไม้เท้าเข้าไปหาหมู่ภิกษุสงฆ์ ผู้กำลังปรารภความเพียร เมื่อไปถึงก็ได้กล่าวกับภิกษุเหล่านั้นว่า 

“ท่านบรรพชิตทั้งหลาย พวกท่านแต่ละรูปล้วนเป็นคนหนุ่มกระชุ่มกระชวย มีผมดำ ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ยังอยู่ในปฐมวัยไม่ควรเบื่อหน่ายในกามารมณ์ทั้งหลาย ขอท่านจงบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์เถิด อย่ายินดีในสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา หนีจากสุขอันสมบูรณ์ไปแสวงหาสุขอันไม่จีรังยั่งยืนเลย” 

พวกภิกษุก็ตอบว่า 


“ดูก่อนพราหมณ์ พวกเราใช่ว่าจะไม่ได้ความสุขที่ถาวรแล้ววิ่งไปหาความสุขชั่วคราว แต่พวกเราละทิ้งความสุขชั่วคราวเพื่อมุ่งไปสู่ความสุขอันเป็นอมตะ ซึ่งสามารถเห็นได้ในปัจจุบันต่างหากเล่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะว่ากามทั้งหลายเป็นของชั่วคราว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายมีมาก ธรรมนี้มีผลที่จะเห็นได้ด้วยตัวเอง ไม่จำกัดด้วยกาล เป็นของควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาไว้ในตน เป็นของอันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน” มารเมื่อเห็นว่าพวกภิกษุไม่ยอมเชื่อฟังตัวเอง จึงได้อันตรธานหายไป
.....

ารได้กล่าวว่า “ดูก่อนภิกษุณี ท่านไม่ชอบใจอะไรหนอ”

จาลาภิกษุณีก็ตอบว่า “ท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบความเกิดเลย” 


มารถามต่อว่า “ทำไมถึงไม่ชอบความเกิด ผู้เกิดมาแล้วย่อมบริโภคกาม ใครหนอให้ท่านยึดถืออย่างนี้ อย่าเลยภิกษุณี ท่านจงชอบความเกิดเถิด จะได้แสวงหาความสุขเรื่อยไป”

จาลาภิกษุณีก็กล่าวว่า “ผู้เกิดมาก็ต้องตาย ผู้ที่เกิดมาย่อมพบเห็นทุกข์ คือ การจองจำ การฆ่า การพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก หรืออยู่กับผู้ไม่เป็นที่รัก เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ชอบความเกิด”

.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก