วันก่อนไปร้านหนังสือธรรมะ โชคดีที่ได้เจอหนังสือดีๆอีก...
อย่างหนังสือ ธรรมวิจารณ์ อ่านแล้วรู้สึกว่า ยังต้องศึกษาอีกมากเหมือนกัน
คิริมานนทสูตร
เรื่องที่มาของพระสูตรนี้ อันเป็นที่ถกเถียงกันก็ขอละไว้
เอาแต่เนื้อหาใจความที่น่าสนใจ ความว่า
สัญญา ๒ ประการ คือ รูปสัญญา๑ นามสัญญา๑
คือรูป ร่างกายตัวตนทั้งสิ้นก็ดี คือนาม ได้แก่จิตเจตสิกทั้งหลายก็ดี
ก็ให้ปลงธุระเสีย อย่าถือว่ารูปร่างกายจิตเจตสิกเป็นตัวตน
และอย่าเข้าใจว่าเป็นของของตน
ทุกสิ่งทุกอย่างความจริงเป็นของภายนอกสิ้นทั้งนั้น
ถ้าหากว่า รูปร่างกายเป็นตัวตนเราแท้
เมื่อล่วงสู่ความแก่เฒ่าชรา ตาฝ้า หูหนวก เนื้อหนังเหี่ยวแห้ง
ฟันโยกคลอน เจ็บปวด เหล่านั้น เราก็จักบังคับได้ตามประสงค์
ว่าอย่าเป็นอย่างนั้น อย่าเป็นอย่างนี้ นี่เราบังคับไม่ได้ตามประสงค์
เขาจะเจ็บ จะไข้ จะแก่ จะตาย เขาก็เป็นไปตามหน้าที่ของเขา
เราหมดอำนาจที่จะบังคับบัญชาได้ เมื่อตายเราจะพาเอาไปสักสิ่งสักอันก็ไม่ได้
ถ้าเป็นตัวตนของเราแล้ว เราก็คงจะพา เอาไปได้ตามความปรารถนา
ดูกรอานนท์ ถึงจิตเจตสิกก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของของตน
หากว่าจิตเจตสิกเป็นเรา หรือเป็นของของเรา เราก็จักบังคับได้ตามประสงค์
ว่า จิต ของเราจงเป็นอย่างนี้จงเป็นอย่างนั้น จงสุขสำราญทุกเมื่อ
อย่าทุกข์อย่าร้อนเลยดังนี้ ก็จะพึงได้ตามปรารถนา นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่
เขาจะคิดอะไรเขาก็คิดไป เขาจะอยู่จะไปก็ตาม เรื่องของเขา
เพราะเหตุร่างกายจิตใจเป็นอนัตตา
ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของของตน ให้ปลงธุระเสีย
อย่าเข้าใจถือเอา ว่าเป็นตัวตนและของของตนเถิด.
และอีกตอนหนึ่ง
บุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน
จงวางเสียซึ่งใจอย่าอาลัยความสุข
จึงจะได้ความสุขในพระนิพพาน ซึ่งเป็นความสุขอย่างยิ่ง อันหาส่วนเปรียบมิได้
เมื่อจะถือเอาความสุขในพระนิพพานแล้ว
ก็ให้วางใจในโลกีย์นี้เสียให้หมดสิ้น
อันว่าความสุขในโลกีย์ก็มีอยู่แต่ ในอินทรีย์ทั้ง ๖ นี้เท่านั้น
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้น เป็นกามคุณทั้ง ๕
ประสาททั้ง ๕ นี้เองเป็นผู้แต่งความสุขให้แก่จิต (ใจ)
ประสาทตานั้นเขาได้เห็นได้ดูรูป วัตถุสิ่งของอันดีงามต่างๆ ก็นำความสุขไปให้แก่จิต
ประสาทหูนั้นเมื่อเขาได้ยินได้ฟังศัพท์สำเนียง เสียงที่ไพเราะเป็นที่ชื่นชมทั้งปวง ก็นำความสุขสนุกสนานไปให้จิต
ผู้ที่จะนำตนไปมีสุขในพระนิพพาน
ต้องวางเสียซึ่งความสุขในโลกีย์
ถ้าวางไม่ได้ ก็ไม่ได้ความสุขในพระนิพพานเลย
ถ้าวางสุขในโลกีย์มิได้ ก็ไม่พ้นทุกข์ ด้วยความสุขในโลกีย์เป็นความสุขที่เจืออยู่ด้วยทุกข์
วิมุตติ ๕
1. ตทังควิมุตติ คือ ความหลุดพ้นชั่วคราว
หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว เช่น เกิดความเจ็บปวด หายจากความโลภ เกิดเมตตา หายโกรธ เป็นต้น แต่ความโลภ ความโกรธนั้นไม่หายทีเดียว อาจจะกลับมาอีก เป็นต้น
2. วิกขัมภนวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยการสะกดไว้
หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสได้ด้วยกำลังฌาน คือ สะกดไว้ได้ด้วยกำลังฌาน เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสเกิดขึ้นได้อีก เช่น เมื่อนั่งสมาธิสามารถสะกดข่มกิเลสไว้ เมื่อออกจากสมาธิกิเลสก็กลับมาอีกครั้ง เป็นต้น
3. สมุจเฉทวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นเด็ดขาด
หมายถึง ความพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจอริยมรรค (มรรคมีองค์ 8) ละกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ไม่เกิดกิเลสอีกต่อไป
4. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยความสงบ
หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลส เนื่องมาจากอริยมรรคอริยผลไม่ต้องขวนขวายเพื่อละกิเลสอีก
5. นิสสรณวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยสลัดออกไป
5. นิสสรณวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยสลัดออกไป
หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสนั้นได้อย่างยั่นยืนตลอดไป ดับกิเลสเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ นิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น