วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

สฬายตนวรรค


ช่วงนี้เกิดความคิดขึ้นอย่างหนึ่ง 


คือ เมื่อจิตได้พบความสงบอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ( จะพยายามจำอารมณ์หรือระลึกถึงอารมณ์ของจิตนั้นเนืองๆ ) มันเกิดความรู้สึกว่า ไม่มีสิ่งใดเทียบได้เลย

ความต้องการแบบโลกๆ มันก็ยิ่งเบาบาง

เช่นว่า จะมีคู่ครอง มันสัมผัสได้แต่จิตที่ฟุ้งซ่าน ถ้าให้เทียบกับความสงบ ความว่าง ความเบาของจิตแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเลือกแบบแรกแน่ๆ

การได้พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น คือที่สุดแล้ว ยิ่งได้ศึกษา ได้พบ ก็ยิ่งยึดมั่นในคำสอน ความสงบความสุขที่ได้จากตรงนี้ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนให้ออกไปทางอื่นได้

...........

... รูปทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ 

ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่พัวพันรูปนั้น 

เรากล่าวว่า เมื่อภิกษุนั้นไม่ยินดี ไม่กล่าว สรรเสริญ ไม่พัวพันรูปนั้น ความเพลินก็ดับไป 

เพราะความเพลินดับไป ทุกข์จึงดับ ฯลฯ 

... ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ 

ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น 

เรากล่าวว่า เมื่อภิกษุนั้นไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น ความเพลินก็ดับไป 

เพราะความเพลินดับไป ทุกข์จึงดับ 

ด้วยประการฉะนี้ เธอนั้นจึงไม่ห่างไกลจากธรรมวินัยนี้ ฯ

สฬายตนวรรค

...........

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

กำหนดความรู้สึก

ได้อ่านหนังสืออยู่เรื่อยๆ และอยากบันทึกข้อความเนื้อหาที่ตรงใจ ณ ตอนนี้
ส่วนข้อความจะผิดหรือถูกอย่างไรนั้น ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะรู้เท่าที่ตัวเองมีประสบการณ์เท่านั้น


  • กำหนดความไม่รังเกียจ ด้วยเมตตา หรือความเป็นธาตุ
  • กำหนดความรังเกียจ โดยเห็นเป็นสิ่งไม่งาม หรือไม่เที่ยง
  • เมื่อได้ผ่านการฝึกฝนอบรมจิตดีแล้ว ย่อมสามารถบังคับความรู้สึกของตนเองได้ดี

ข้อสุดท้ายนี้ ก็เคยอ่านข้อถกเถียงกันไปมาวุ่นวาย แต่ด้วยประสบการณ์ตนเองแล้ว ตามใจความ ก็เห็นว่าเป็นความจริง

  • จิตไม่ยินดี ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะราคะ
  • จิตไม่มุ่งร้าย ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะพยาบาท
  • จิตอันความคิดเห็นไม่อาศัย ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความคิดเห็น
  • จิตหลุดพ้น ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะกามราคะ
  • จิตไม่เกาะเกี่ยว ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะกิเลส
  • จิตที่กำหนดด้วยศรัทธา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความเป็นผู้ไม่ศรัทธา

บางส่วนจากมูล 16 ภูมิแห่งฤทธิ์

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

ธรรมฉันทะ

ฉันทะ: ความพอใจ
เป็นได้ทั้งกลางๆ อกุศล กุศล เป็นอัญญสมานาเจตสิก

กุศลฉันทะ หรือ ธรรมฉันทะ ได้แก่ กัตตุกัมยตาฉันทะ คือ ความต้องการที่จะทำ(ให้ดี) ตรงข้ามกับ ตัณหาฉันทะ

เริ่มต้นทางธรรม ย่อมต้องมีฉันทะในการศึกษา,ปฏิบัติก่อน

พระพุทธเจ้าคงไม่ได้ห้ามฉันทะกระมัง เพราะพระองค์ก็สอนเรื่อง อิทธิบาท 4: ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

จนกระทั่งเมื่อบรรลุจุดหมายแล้ว ก็ไม่ต้องใช้ฉันทะนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

บำเพ็ญเพียร

เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้ ตอนเดินเล่นในร้านหนังสือ

"พุทธปาฏิหาริย์ ตำนานหรือเรื่องจริง"


ความจริงเรื่องปาฏิหาริย์นั้น ไม่ได้เป็นที่คลางแคลงใจเลย

แต่เนื้อหาบางส่วนของผู้เขียนนั้นก็ตรงกับสิ่งที่คิดเหมือนกัน นั่นคือ


เมื่อพอได้อ่านได้ศึกษามากขึ้นกลับพบว่า บางเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมา ไม่ได้มีในพระไตรปิฎก
อาจจะด้วยประเพณี ความเชื่อ ที่เข้ามามีอิทธิพล ก็ทำให้เรื่องราวคลาดเคลื่อนไป
บางเรื่องก็เกิดจากความไม่เข้าใจในภาษาบ้าง ก็อยากจะหาความแน่ชัดให้มากกว่านี้


ถึงอย่างไรก็ตาม เรื่องพุทธประวัตินั้น ไม่ถึงกับมีผลมากมายนัก เพราะสิ่งที่เกิดกับตนเองนั้นก็สร้างศรัทธาได้เต็มเปี่ยมแล้ว จึงมุ่งสนใจที่พระธรรมคำสอนมากกว่า



อ่านมาถึงบท"บำเพ็ญเพียรทางจิต" ก็จุดประเด็นความน่าสนใจ...


เมื่อพระมหาบุรุษทรงเลิกละทุกกรกิริยา เปลี่ยนมาทำความเพียรทางจิต ทรงดำริเปรียบเทียบอุปมา ๓ ข้อ ซึ่งพระองค์ไม่เคยสดับ ไม่เคยดำริมาก่อนเลย ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์อย่างแจ่มแจ้งว่า
              สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ซึ่งมีกายไม่ได้หลีกออกจากกาม และมีความพอใจรักใคร่ในกาม ยังละให้สงบระงับไม่ได้ดี สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้ได้เสวยทุกเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อน ที่เกิดเพราะความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ก็ไม่ควรจะตรัสรู้ เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยาง บุคคลแช่ไว้ในน้ำ บุรุษมีความต้องการด้วยไฟ ถือเอาไม้สีไฟมาสีเข้า ด้วยหวังจะให้เกิดไฟ บุรุษนั้นก็ไม่อาจให้ไฟเกิดขึ้นได้ ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า เพราะไม้นั้นยังสดมียางอยู่ ทั้งยังแช่อยู่ในน้ำ

              อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้มีกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมีความรักใคร่พอใจในกาม ยังละให้สงบระงับไม่ได้ดี สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้ได้เสวยทุกข์เวทนาเช่นนั้น อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ก็ไม่ควรจะตรัสรู้ เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยาง แม้ห่างไกลจากน้ำ บุคคลตั้งไว้บนบก บุรุษก็ไม่อาจสีให้เกิดไฟได้ ถ้าสีเข้า ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า เพราะไม้นั้นแม้ตั้งอยู่บนบกแล้ว แต่ยังเป็นของสดชุ่มด้วยยาง

              อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายหลีกออกจากกามแล้ว และละความใคร่ในกาม ให้สงบระงับดีแล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้น ได้เสวยทุกข์เวทนาเช่นนั้น อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี แม้ไม่ได้เสวยเลยก็ดี ก็ควรจะตรัสรู้ได้ เหมือนไม้แห้งที่ไกลจากน้ำ บุคคลวางไว้บนบก บุรุษอาจสีให้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นของแห้ง ทั้งตั้งอยู่บนบก



ในวันตรัสรู้นั้น เมื่อพระองค์ทรงบรรลุฌานสี่ ก็ได้พบความรู้พิเศษที่เรียกว่า ญาณ 3 ประการ


  ๑) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ตามระลึกได้ถึงชาติที่เคยเกิดมาตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมาก ในราตรีปฐมยาม

  ๒) จุตุปปาตญาณ  รู้ถึงการตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ในราตรีมัชฌิมยาม




เมื่อเห็นความเกิดตายอยู่เป็นประจำซ้ำซาก ก็ทรงสังเวชสลดพระหฤทัย จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาทธรรม ได้ทรงค้นพบว่า ตัวเหตุที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นคือ "อวิชชา" มีปกติกำบังมิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ พระจตุราริยสัจธรรม

พระองค์ผู้มีพระทัยผ่องแผ้ว น้อมเจริญพระวิปัสสนาญาณภาวนา เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์หรือรูปนาม



  ๓) อาสวักขยญาณ ความรู้ที่สมบูรณ์พร้อมจนทำลายกิเลสอย่างละเอียดที่สุดได้หมดสิ้นไม่มีเชื้อเหลือ  ในราตรีปัจฉิมยาม



บางส่วนคัดย่อจาก

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก