วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เป๊ะเว่อร์

เมื่อเช้าไปร้านนวดแผนไทย จองไว้ 10 โมง ปรากฏว่า หมอยังไม่มา
ก็เลยเดินเล่นในร้าน ไปเจอหนังสือธรรมะ
เปิดอ่านไปนิดนึง อื้ม ดีแหะ ก็ขอยืมหนังสือจากเจ้าของร้านกลับมา
แล้วข้ามหน้าแรกๆ มาเลยนะ เปิดมาเจอ 

เรื่องความหมาย "เอกัคคตา" พระท่านอยากแปลว่า ไม่ขัดกัน กลมกลืนกัน
เอ้อ เอามาใช้กับหัวข้อตัวเองได้พอดี

เรื่องถัดมา "เสียงรบกวน" ตรงนี้โดน!!!

"เสียงก็ทำหน้าที่ของเสียง เราก็เกิดความไม่พอใจ เราก็ไปทะเลาะกับเสียง ไม่ชอบเสียง
มันไม่สงบเพราะไม่ถูกใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ตราบใดที่เราอยู่ในโลกนี้ จะบังคับโลกให้ถูกใจเรา ก่อนที่เราจะยอมสงบ เออโชคดีเหอะ ..."
- หลวงพ่อชา

คือวันก่อนมีคนเปิดเพลงดังมากกกก เปิดทิ้งไว้แล้วก็หายหัวไปไหนไม่รู้ 
แล้วก็มีแค่ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวไง จะเปิดให้พ่อคุณฟังหรอ อารมณ์เสียมากกกตอนนั้น 

พออ่านเจอหน้านี้ 5555+ อะไรจะพอดีขนาดน้าน
ถ้าเมื่อเช้าหมอมาตรงเวลาก็ไม่มีโอกาสได้เจอคำสอนนี้เลยนะเนี่ย 😸

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567

หลุด

แต่ก่อนก็คิดว่า ธรรมะ มักจะมีข้อจำกัดเรื่องภาษา ไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ตรงหรอก
แล้วก็เข้าใจว่า เป็นแบบนั้นทั้งหมด
จนกระทั่งวันก่อน รู้สึกว่า ...


ใช่แหะ
"รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ว่า หลุดพ้นแล้ว"
(เม เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต วิมุตฺตมิติ)

ก็เลยอยากรู้ว่า ในพระไตรปิฎก เวลาที่พูดถึง
"อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป"
จะมีข้อความช่วงนี้ยังไง ส่วนใหญ่ก็เห็นเป็นแบบนี้นะ
"หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ", "หลุดพ้นจากอาสวะ"
ทั้งในทีฆนิกาย  มัชฌิมนิกาย

มันไม่ใช่ ตัดกิเลส (ฉิทนฺติ) ซึ่งส่วนใหญ่เจอในอปทานเอง หรือ ละกิเลส (ปหีน) ซึ่งส่วนใหญ่เจอในขุททกนิกาย
[แต่ก็แอบอ่านพันทิป เขาก็จะบอกว่า ความคิดนี้ผิดบ้าง เป็นมหายานบ้าง 555+ ไม่ว่ากัน]
[ซึ่งตัวเราเอง ก็ไม่กล้ายืนยันขนาดนั้น ปล่อยให้ผู้รู้ทำหน้าที่ไป ;)]

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก