วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ศาลพระภูมิ

เรื่องมงคล ๓๘ คือเรื่องที่ไม่ชอบเลย

ไม่รู้สิ คงเกิดจากตอนประถม โดนโรงเรียนบังคับให้อ่านและสอบ อะไรที่เกิดจากการโดนบังคับ มันก็ทำให้เราไม่ชอบ (หลักจิตวิทยาก็คือ เมื่อโดนบังคับ เราก็จะเกิดความรู้สึกต่อต้าน)

ตอนนี้มาอ่านข้อสอบ ถามว่า "ข้อใดผิดไปจากมงคลสูตร"
เฉลย "การไหว้ศาลพระภูมิ" โดยให้เหตุผลว่า "ต้องไปอ้อนวอนกราบไหว้ศาลพระภูมิหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการขอมงคลนอกตัว"

ยิ่งย้ำให้ไม่ชอบมงคล ๓๘ ไปใหญ่

ทำไมถึงต้องมองว่าการไหว้ คือการอ้อนวอน 

การไหว้ คือทำให้ระลึกถึง ไม่ได้หรือ

ศาลพระภูมิ แสดงถึงการเคารพพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งท่านก็เป็นเทวดา 
การระลึกถึงเทวดา ก็คือ เทวตานุสติ ซึ่งก็เป็น 1 ในอนุสติ 10 จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

...

ว่าแล้วก็นึกไปถึงสมัยมัธยมเช่นกัน อาจารย์พาไปปฏิบัติธรรมที่วัด แล้วให้กล่าวตามว่า "ขอเกิดเป็นลูกแม่ทุกชาติไป" เด็กนักเรียนหัวดื้อคนนี้ก็ไม่กล่าว แล้วคิดในใจเป็นอย่างอื่นแทน 

ยอมให้มองว่าอกตัญญูต่อครูอาจารย์และพ่อแม่นะ แต่จะไม่อกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อเด็ดขาด

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พุทธ คือ อะไร

การนับถือศาสนาพุทธ วัดกันที่ได้ไปนั่งสมาธิตามสถานที่อย่างนั้นหรือ?


********

... นางชัมพุกาเดินทางไปพบสำนักปริพาชก ถามว่า "ท่านผู้เจริญ อะไรเป็นสูงสุดแห่งการบรรพชาของท่าน" ปริพาชกตอบว่า "บุคคลกระทำบริกรรมในกสิณ ๑๐ แล้วพึงยังฌานให้บังเกิดบ้าง พึงเรียนวาทะพันหนึ่งบ้าง นี้เป็นประโยชน์สูงสุดแห่งบรรพชาของพวกเรา"

(ถึงกระนั้นก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์) เมื่อเรียนจบวาทะพันหนึ่ง ปริพาชกก็ให้นางเที่ยวไป หาผู้สามารถกล่าวปัญหากับตนได้ จนได้พบพระสารีบุตร

พระเถระถามว่า "ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนมีความเป็นคู่ พระอาทิตย์คู่พระจันทร์ กลางวันคู่กลางคืน อ่อนคู่กับแข็ง สุขคู่กับทุกข์ แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่มีเพียงหนึ่ง ไม่มีคู่เลย สิ่งนั้นคืออะไร (อะไรชื่อว่าหนึ่ง)" (สิ่งนั้นคือ พระนิพพาน นั่นเอง) 

นางชัมพุกายอมพ่ายแพ้ และขอศึกษาวิชาพุทธมนต์ พระสารีบุตรพามาหาพระผู้มีพระภาค ทรงตรัสว่า

"ผู้ใดกล่าวคาถาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้ตั้ง ๑,๐๐๐ คาถา ผู้กล่าวคาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์แม้เพียงคาถาเดียว ยังผู้ฟังให้สงบ ระงับได้ ชื่อว่า ประเสริฐกว่าแล"

ทั้งที่นางกำลังยืนอยู่นั้น ยังไม่ทันจะนั่งลงก็ได้บรรลุพระอรหันตผล

********

ก็บุคคลผู้มีศีลเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าบุคคลผู้ทุศีล มีจิตไม่มั่นคงมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี 
ก็บุคคลผู้มีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่า
บุคคลผู้ไร้ปัญญามีจิตไม่มั่นคง มีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
ก็บุคคลผู้ปรารภความเพียรมั่น มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่า
บุคคลผู้เกียจคร้านมีความเพียรอันเลว มีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี 
ก็บุคคลผู้พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไป มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่า
บุคคล ผู้ไม่พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี 
ก็บุคคลผู้พิจารณาเห็นอมตบท มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่า
บุคคลผู้ไม่พิจารณาเห็นอมตบทมีชีวิตอยู่ร้อยปี 
ก็บุคคลผู้พิจารณาเห็นธรรมอันสูงสุด มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่า
บุคคลผู้ไม่พิจารณาเห็นธรรมอันสูงสุดมีชีวิตอยู่ร้อยปี



********

เธอทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน

ดูกรภิกษุทั้งหลายการพิจารณาของภิกษุว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราไม่เป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราไม่เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้อันถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัยได้โดยมาก
เราเป็นผู้โกรธอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่โกรธอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมองอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีกายอันปรารภแรงกล้าอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีกายอันมิได้ปรารภแรงกล้าอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้
ย่อมเป็นอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ

ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น ฯ

********

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

จริตในสติปัฏฐาน

จริตในวิปัสสนา มี ๔ คือ ตัณหาจริตและทิฏฐิจริต อย่างหยาบและอย่างละเอียด

ผู้ที่มีนิสัยโน้มไปทางตัณหาจริตอย่างหยาบ เหมาะกับกายานุปัสนาสติปัฏฐาน ที่มีลักษณะหยาบและเห็นได้ชัด

ผู้ที่มีนิสัยโน้มไปทางตัณหาจริตอย่างละเอียด มีปัญญาคมกล้า เหมาะกับเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งละเอียดกว่า

ผู้ที่มีนิสัยโน้มไปทางชอบคิด (ทิฏฐิจริต) อย่างหยาบ ไม่มีรายละเอียดมากนัก ได้แก่การตามรู้ความเป็นไป/เกิดดับของจิต เหมาะกับจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ผู้ที่มีนิสัยโน้มไปทางชอบคิด (ทิฏฐิจริต) อย่างละเอียด มีปัญญาคมกล้า เหมาะกับธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นสัจธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งมาก

สติปัฏฐานที่ ๑ รู้ว่ากายไม่ใช่ตัวตน 
สติปัฏฐานที่ ๒ รู้ว่าความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ ไม่ใช่ตัวตน 
สติปัฏฐานที่ ๓ รู้ว่าจิตไม่ใช่ตัวตน 
สติปัฏฐานที่ ๔ รู้ว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่มีบุคคล เราเขา หญิงชาย 

ทุกระดับในการปฏิบัติ มีคุณภาพไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน 
แม้ในกายานุปัสสนาอันเป็นการพิจารณาสภาพธรรมที่หยาบที่สุด ก็อาจมีผลส่งให้จิตทำลายอุปาทานในตัวตน เข้าถึงมรรคผลได้ทั้งสิ้น 


https://facebook.com/IloveBuddhismandphilosophy/
http://www.madchima.org

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

คิลายนสูตร

- คัดย่อ -


ก็ท่านยังมีความห่วงใยในบุตรและภริยาอยู่หรือ?

ท่านผู้เช่นกับเรา ซึ่งมีความตายเป็นธรรมดา ถ้าแม้ท่านจักกระทำความห่วงใยในบุตรและภริยา ก็จักตายไป ถ้าแม้ท่านจักไม่กระทำความห่วงใยในบุตรและภริยา ก็จักตายไปเหมือนกัน ขอท่านจงละความห่วงใยในบุตรและภริยาของท่านเสียเถิด

ท่านยังมีความห่วงใยในกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์อยู่หรือ?

กามอันเป็นทิพย์ยังดีกว่า ประณีตกว่า กามอันเป็นของมนุษย์ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากกามอันเป็นของมนุษย์ แล้วน้อมจิตไปในพวกเทพ ... พรหมโลกเถิด

ดูกรท่านผู้มีอายุ แม้พรหมโลกก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ยังนับเนื่องในสักกายะ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพรหมโลก แล้วนำจิตเข้าไปในความดับสักกายะเถิด

ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากพรหมโลกแล้ว เรานำจิตเข้าไปในความดับสักกายะแล้ว อาตมภาพกล่าวว่า อุบาสกผู้นั้นมีมีจิตพ้นแล้วอย่างนี้ (พ้นด้วยวิมุติ)

...

กองทุกข์อันเกิดจากการต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุด 
ท่านผู้มีปัญญาพากันเกรงกลัวเป็นอันมาก

...

" ในแง่ความได้เปรียบเสียเปรียบ บางอย่างเทวดาดีกว่า แต่บางอย่างมนุษย์ก็ดีกว่า เช่น ท่านเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์ชาวชมพูทวีปกับเทพชั้นดาวดึงส์ว่า เทพชั้นดาวดึงส์เหนือกว่ามนุษย์ ๓ อย่างคือ มีอายุทิพย์ ผิวพรรณทิพย์ และความสุขทิพย์ แต่มนุษย์ชาวชมพูทวีปก็เหนือกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ ๓ ด้าน คือ กล้าหาญกว่า มีสติดีกว่า และมีการประพฤติพรหมจรรย์ (หมายถึงการปฏิบัติตามอริยมรรค) "   - หนังสือพุทธรรม

...

ว่ากันว่า ภพภูมิตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไปสามารถบรรลุธรรมได้ (เว้นอสัญญสัตตาพรหม และต่ำกว่านี้ไม่ได้) และภพภูมิมนุษย์นั้นก็เห็นไตรลักษณ์ได้มากที่สุดแล้ว

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

สู้ไม่ไหว


ท่านสอนให้มีสติ ข้ามตัณหาที่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ถ้าไปสู้ด้วยความคิด จะสู้ไม่ไหว เหมือนพยายามไปคุยกับคนมิจฉาทิฏฐิ สู้กันไม่จบ

ให้ใช้ อุปสมานุสสติ น้อมจิตนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
พระนิพพานอันไม่ผันแปรซึ่งเป็นเป้าหมาย ตัณหามาเรียกก็ไม่ไป เพราะจิตเห็นชัดแล้วว่านิพพานเป็นสุข

ถ้าเมื่อใดรู้สึกว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันใหญ่โตเหลือเกิน แสดงว่าใจเรามันเล็กไป

วิธีตัดง่ายๆ อะไรที่ไม่ใช่สาระให้เอาออกไป ความผิดพลาดของมนุษย์ทั้งหลายคือ ยินดีในสิ่งที่ไม่ใช่สาระ เหนื่อยยากแทบตายเพื่อสิ่งที่ไม่มีคุณค่าอย่างแท้จริง

สาระ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ดังนั้น เราต้องกล้าที่จะวางชีวิตและจิตใจไว้กับสาระ
สิ่งใดที่ไม่ใช่สาระต้องกล้าทิ้ง เพราะถ้าไม่ทิ้ง ชีวิตจะรกรุงรัง จิตใจจะฟุ้งซ่าน วิตก หวาดกลัว


- คัดย่อจาก โสฬสปัญหา -

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

ทุกขสมุทัย

ธรรมดาคนเราเกิดมาในโลกนี้ ให้เกิดมีความพยายามขวนขวายวุ่นวาย


ให้ได้มาซึ่งอารมณ์ที่น่ายินดีน่าปรารถนาทั้งสิ้น

จริงไหม?

สู้อุตส่าห์เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ยากลำบาก ได้รับความทุกข์ต่างๆนานา

ก็เพื่อให้ได้ความพอใจ ในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ในกลิ่นบ้าง ในรสบ้าง ในสัมผัสบ้าง ในอารมณ์บ้าง

แต่หารู้ไม่ว่า อยู่ภายใต้อำนาจของตัณหา คือ ความปรารถนา ความยินดี คิดว่าจะนำความสุขมาให้



กิเลส ความอยาก อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
เมื่อได้สิ่งนั้นมา ก็หมกมุ่นพัวพันติดอยู่ อยากอยู่นั่นเอง
หรือเมื่อไม่ได้ ก็เศร้าโศกเสียใจ



กิเลสวัฏฏ คือ วนเวียนในเครื่องเศร้าหมองเร่าร้อน ได้แก่ อวิชชา ตัณหา และ อุปาทาน เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นเหตุให้ทำกรรม

กัมมวัฏฏ คือ วนเวียนในการกระทำตามอำนาจของกิเลส อันหมายถึงตัวเจตนา ซึ่งเมื่อได้กระทำกรรมแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้เกิดวิบาก คือได้ผลของกรรมที่ได้กระทำนั้น

วิปากวัฏฏ คือ วนเวียนในวิบากที่เป็นผลของกรรม
เมื่อยังมีความยินดียินร้ายในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อให้เกิดกิเลสต่อไปอีก เป็นเหตุให้กระทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรมบ้าง กุศลกรรมบ้าง หมุนวนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

- ย่อจาก โพธิธรรมทีปนี, ไตรลักษณ์และปฏิจจสมุปบาท

มีโอกาสได้ตัดภพตัดชาติแล้ว อย่าเกิดมาแล้วก็ตายไป 
โดยไม่ได้เข้าใกล้พระนิพพานมากขึ้นเลย


วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

ปฏิจจสมุปบาท

นับเป็นธรรมอีกเรื่องที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน เช่นว่า 

...เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี...

ก็เกิดความสงสัยขึ้นว่า เวทนาเกิด แต่ไม่เกิดตัณหาไม่ได้หรือ และมิใช่เพราะอวิชชา(อัตตา)หรือ จึงเกิดตัณหา

ครั้นหาคำอธิบาย ก็เหมือนจะมีแต่คัดลอกตามตำรา

ยอมรับว่า การที่จะยอมรับคำตอบของใครได้นั้น คำตอบนั้นจะต้องค่อนข้างตรงใจ เพราะคำตอบจากคนที่เข้าใจ กับจากคนที่จำได้ จะไม่เหมือนกัน 

ตอนนี้ก็พบคำอธิบาย - จากหนังสืออ.วศิน - ที่ตรงใจทีเดียว ความว่า

...

ปฏิจสมุปบาทเหมือนโซ่ 12 ห่วง ผูกคล้องไว้ หาเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดไม่ได้ อาศัยกันเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ไม่ได้เป็นเหตุของอีกอันโดยเด็ดขาด

ท่านแสดงอวิชชาเป็นตัวต้นนั้น ไว้เป็นตัวอย่าง เปรียบเหมือนสายโซ่ที่ติดกันอยู่ เลือกจับห่วงใดห่วงหนึ่งเป็นอันตั้งต้นแล้ว ย่อมเวียนมาชนห่วงเดิม

ในสายปฏิจสมุปบาท สัมพันธ์กันทุกช่วง ไม่จำเป็นต้องตามลำดับเสมอไป แม้ในช่วงที่ห่างกัน ก็เป็นเหตุเป็นผลกันได้
...

วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

เกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก?

คงเป็นอีกเรื่องที่ได้ยินจนเข้าใจผิดๆมา...

ครั้นได้ยิน เรื่องการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก อุปมาเหมือนทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอดที่อยู่ในทะเล มีลมพัดทั้ง 4 ทิศ จะโผล่หัวขึ้นมา แล้วลอดห่วงนั้นได้พอดี 

ก็เหมือนเดิม ฟังแล้วยังค่อนข้างคลางแคลงใจ...

จนกระทั่งได้เจอ พาลบัณฑิตสูตร

จริงๆแล้ว พระพุทธเจ้าเปรียบด้วยเรื่องของคนพาล
ช่วยให้เกิดศรัทธาว่า ไม่มีคำสอนใดของพระพุทธเจ้าที่ขัดแย้งกับใจเลย

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้ ยังจะเร็วกว่า เรากล่าวความเป็นมนุษย์ที่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาตคราวหนึ่งแล้วจะพึงได้ ยังยากกว่านี้ นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะในตัวคนพาลนี้ไม่มีความประพฤติธรรม ความประพฤติสงบ การทำกุศล การทำบุญ มีแต่การกินกันเอง การเบียดเบียนคนอ่อนแอ ฯ


ก็อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเกิดเป็นมนุษย์นั้นง่ายหรือยาก แต่ใจความคือ ทำไมถึงกล่าวกันมาผิดเพี้ยนแบบนี้ (อีกแล้ว) หนอ

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก