วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

วิปัสสนาปัญญา



ธมฺมาสภาวปฏิเวธลกฺขณา 

ปัญญาที่มีลักษณะให้ตรัสรู้ซึ่งสภาวะปกติแห่งรูปธรรมทั้งปวง


อธิบายว่า อาการไม่เที่ยงไม่แท้กอปรด้วยทุกข์ ที่ไม่เป็นแก่นสารใช่ตนใช่ของตน นี่แลเป็นสภาวะปกติแห่งรูปธรรมแลนามธรรม

ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเป็นรูปธรรมนามธรรมแล้ว ก็มีแต่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ปราศจากแก่นสารนั้น เป็นปกติธรรมดา

เมื่อนามแลรูปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่โดยสภาวะปกติดังนี้ วิปัสสนาปัญญานั้นจะให้รู้วิปริตคือ จะให้รู้ว่าเที่ยงเป็นสุขเป็นแก่นสาร เป็นตนเป็นของตนนั้นหามิได้

วิปัสสนานั้นให้รู้ให้เห็นแจ่มแจ้งว่า รูปธรรมนามธรรมนี้เป็นอนิจจังไม่เที่ยงไม่แท้โดยปกติธรรมดา กอปรด้วยทุกข์ต่างๆโดยปกติธรรมดา เป็นอนัตตาใช่ตัวตน ใช่ของแห่งตนโดยปกติธรรมดา

เพราะวิปัสสนาปัญญานั้นรู้แจ้งรู้ชัดฉะนี้ จึงกล่าววิสัชนาว่า กิริยาที่ให้ตรัสรู้ซึ่งสภาวะปกติเห็นรูปธรรมนี้แลเป็นลักษณะแห่งวิปัสสนาปัญญา


- คัดลอกจาก พระวิสุทธิมรรค




เวลามสูตร

  • ทานที่บุคคล ถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวาย ให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค 
  • การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บริโภค 
  • การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ 
  • การที่ บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่ม น้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท มีผลมากกว่าการที่บุคคล มีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ 
  • การที่บุคคลเจริญ เมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิต เลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ
  • การที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ฯ

อาทิตตปริยายสูตร


ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน, ก็อะไรเล่าชื่อว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?


ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของร้อน รูปทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยแม้นั้นก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร?  เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ  เพราะไฟคือโทสะ  เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด  เพราะความแก่  และความตาย
ร้อนเพราะความโศก  เพราะความรำพัน  เพราะทุกข์กาย  เพราะทุกข์ใจ  เพราะความคับแค้น.

โสตเป็นของร้อน  เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ฆานะเป็นของร้อน  กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ชิวหาเป็นของร้อน  รสทั้งหลายเป็นของร้อน ...
กายเป็นของร้อน  โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน ...
มนะเป็นของร้อน  ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ความเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข  ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยแม้นั้นก็เป็นของร้อน ...


ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยจักษุ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข  เป็นทุกข์  หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข  เป็นทุกข์  หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย.


เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด  เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น  เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว

อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี.

ก็แล  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่  จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปนั้น  พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น.


บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก